เสียงร้องของผู้ประกอบการรายกลางรายเล็ก หรือ เอสเอ็มอี ขยายวงมากขึ้น เมื่อเหตุระเบิดและลอบวางเพลิงในกรุง เกิดขึ้นหลายแห่งพร้อมกันเมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา
การค้าขายจึงเงียบแบบเฉียบพลัน ผู้ค้ารายเล็กที่พยายามปรับตัวให้รอดมาตั้งแต่ต้นปี โดยหวังว่าหลังเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่บรรยากาศค้าขายน่าจะดีขึ้น
ทว่าความรุนแรงดังกล่าว ได้ช็อกยอดขายวันศุกร์สุดสัปดาห์หายไปกว่าครึ่ง ซ้ำเติมผู้ค้าซึ่งเดือนที่ผ่านมาต้องขาดทุนควักเงินเก็บมาจ่ายค่าเช่าเป็นครั้งแรกของปีนี้ โดยไม่รู้เศรษฐกิจจะแย่ไปอีกนานขนาดไหน?
นี่คือ..บางส่วนของความเดือดร้อนจริงๆ
เมื่อเหตุไม่คาดฝันเกิดมาเช่นนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยที่สอง และนั่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง จึงควรปรับน้ำหนักมาตรการที่กำลังจะเคาะ กระจายช่วยรายกลางรายเล็กมากขึ้น จากที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการแข่งขันระหว่างประเทศรุนแรง รัฐบาลจึงมุ่งให้ความสำคัญ กับการดึงเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ ดึงแรงงานต่างชาติทักษะสูง หนุนกลุ่มทุนใหญ่ในไทย เพื่อหวังให้แข็งแรงช่วยพยุงรายกลางรายเล็ก นอกจากนี้ มาตรการที่จะออกมาต้องเป็นมาตรการเชิงรุกและแรงพอฟื้นเศรษฐกิจที่เซื่องซึมมานาน ไม่ให้ ”ซึมลึก” จนยากจะเยียวยา
อย่างที่ทราบกันว่า วิกฤตเศรษฐกิจเกือบทุกครั้ง จะเริ่มขยายวงจากจุดเล็กที่สะสมมาถึงระดับหนึ่ง เมื่อความเชื่อมั่นหายไป ผลกระทบจะขยายวงไปเหมือน ”ไฟลามทุ่ง” เหมือนบทเรียนวิกฤตหลายครั้ง รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่เมื่อปี 2540 หรือ ”วิกฤตต้มยำกุ้ง” ที่ขยายไปประเทศอื่นที่มีปัญหาสะสมอยู่แล้วให้เข้าสู่วิกฤตไปด้วย เช่น อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ช่วงนั้นต่างชาติมองไทยเป็นประเทศแพร่ระบาดวิกฤตไปต่างประเทศ
โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่เป็นตัวแทนนักลงทุนต่างประเทศ มองว่า “รัฐบาลใช้จ่ายมือเติบและความเน่าเฟะของสังคมใช้ระบบอุปถัมภ์ มีการฉ้อฉล เอาเงินจากสถาบันการเงิน จากในระบบเศรษฐกิจ ไปช่วยเหลือพวกพ้อง ไปทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่มีธรรมาภิบาลโดยสิ้นเชิง”
จึงสมควรจะเกิดวิกฤต ต้องยากลำบากธุรกิจต้องปิดกิจการเจ๊งเป็นจำนวนมาก จากเงื่อนไขของเจ้าหนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ให้รัดเข็มขัดใช้จ่าย ทำงบประมาณเกินดุล เพื่อมีรายได้มาใช้หนี้ ต่างชาติมองว่า ถ้าไม่มีความเจ็บปวด ก็จะไม่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น จะได้เข็ดไม่ทำอีก โดยต้องการให้มีการแก้ไขทั้งระบบ ถึงจะกลับมาลงทุนในไทยใหม่
ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้กันว่า วิกฤตต้มยำกุ้งเกิดมาจากหนี้ของภาคเอกชน ซึ่งเห็นช่องว่างจากรัฐเปิดเสรีทางการเงิน โดยไม่มีมาตรการอื่นเข้ามาดูแล จึงใช้ช่องทางนั้น ”ไปกู้เงินต่างประเทศที่ดอกเบี้ยต่ำ มาหากำไรจากปล่อยกู้ในไทยที่ดอกเบี้ยสูง” โดยไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน เพราะไทยตรึงค่าเงินบาท
รวมทั้งการแก้ปัญหาของเจ้าหนี้ไอเอ็มเอฟ ระบบการแก้ปัญหาสมัยนั้น ยังใช้รูปแบบเดิม มองประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเหมือนกันว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นมาจากการใช้จ่ายของรัฐที่เกินตัว เหมือนประเทศในแถบอเมริกาใต้ส่วนใหญ่
ดังนั้น ก่อนมาแก้ปัญหา ไอเอ็มเอฟ จึงมีขั้นตอนการแก้ปัญหามาเกือบเบ็ดเสร็จแล้ว จากฐานข้อมูลของไอเอ็มเอฟที่เชื่อว่าถูกต้อง พอมาฟังทางไทยชี้แจงข้อเท็จจริง ก็จะปรับวิธีแค่เล็กน้อย
ดังนั้น ลูกหนี้ที่ขาดสภาพคล่องอยู่แล้ว เมื่อโดนสั่งให้รัดเข็มขัดซ้ำเข้าไป จึงต้องล้มหายตายจาก โดยมีหน่วยงานลงทุนการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่ง ได้รับอานิสงส์ไปเป็นเงินมหาศาล!
ซึ่งกว่าไอเอ็มเอฟจะรู้ว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการให้ ”ยาผิด” กิจการในไทยก็เจ๊งไปแล้วจำนวนมาก และเป็นบทเรียนให้ต้องทวนมาตรการ ดังเห็นได้จากวิกฤตซับไพร์มของสหรัฐในกว่าสิบปีถัดมา วิกฤตในยูโรโซน วิกฤตญี่ปุ่น จึงใช้การอัดฉีดเงินเข้าระบบ ตรงกันข้ามกับการรัดเข็มขัด
จากบทเรียนที่ผ่านมา รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ปีนี้ การเติบโตคงขยายตัวพลาดจากที่รัฐบาลตั้งเป้าจะโตกว่า 3% ไปมาก โดยหลายฝ่ายมองว่า อาจจะแย่น้อยกว่า 3% เพราะรายได้หลักกว่าครึ่งที่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวจากส่งออก และท่องเที่ยว ร่วงหนักมาก จากสงครามการค้าที่ขยายวงสหรัฐอเมริกากับจีน เพิ่มอีกคู่ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้
บางหน่วยงานถึงกับคาดการณ์ว่า การส่งออกปีนี้อาจไม่เติบโต หรือส่งออก 0% (หมายถึงการส่งออกไม่เพิ่มจากปีก่อน ไม่ใช่เหมือนกับที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.บางคนอภิปรายในสภาว่าส่งออกไม่ได้เลย)
สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐ คงช่วยไม่ได้มาก เพราะงบประมาณปี 2563 ในส่วนงบลงทุนคงใช้ไม่ทันเริ่มปีงบประมาณเดือนตุลาคมนี้.. เมื่อเป็นเช่นนี้ การบริโภคในประเทศ การลงทุนภาคเอกชน คงหวังได้น้อยที่จะมาเป็นตัวช่วยดันเศรษฐกิจ
ภาพรวมทั้งหมด จึงหวังว่ามาตรการเศรษฐกิจครั้งแรก ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์สมัยสองที่กำลังจะออก คงจะปรับสัดส่วนจัดลำดับ ให้มา ”ช่วยผู้ประกอบการรายกลางรายย่อยมากขึ้น กว่าไปกระจุกช่วยรายใหญ่” พร้อมเร่งแก้ปัญหาความรุนแรงระเบิดและลอบวางเพลิงให้เร็ว รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เพื่อเรียกความเชื่อมั่น
เพราะการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมอย่างเท่าเทียมกัน จะทำให้ความเกลียดชังหมดไป!
โดย-คนฝั่งธนฯ