เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และเครือข่าย ได้ออกแถลงการณ์ขอให้ทบทวนเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) เอื้อเอกชนกลุ่มทุนผูกขาด และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินต้องรักษาประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ ประชาชน
โดยระบุว่า สืบเนื่องจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีประกาศ คสช.หลายฉบับเพื่อเร่งรัดให้มีการจัดตั้ง “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” หรือ อีอีซี และต่อมาได้มีการออก“พระราชบัญญัติเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561” เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ จึงได้กำหนดให้มีการจัดสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โดยมีระยะทาง ระยะทาง220 กม.มูลค่าโครงการ 224,544.36 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาการเดินทางประมาณ 1.40 ชม. ราคาค่าโดยสาร 476บาท ผู้รับผิดชอบโครงการคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
โดยโครงการดังกล่าวได้เปิดขายเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพื่อเข้าประมูลโครงการในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2561ประมูลกันเมื่อปลายปี 2561 เบื้องต้นมีผู้ซื้อซองประมูลราคาจำนวน 31 ราย และต่อมามีผู้ยื่นซองข้อเสนอราคาประมูลโครงการเพียง 2 ราย คือ กิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัดและ กิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) ซึ่งปรากฏตอนหลังว่า ทั้ง 31 รายที่สนใจซื้อเอกสารการคัดเลือกได้ไปมีรายชื่อในสองกลุ่มที่ยื่นซองข้อเสนอราคาประมูล ก่อให้เกิดคำถามต่อสาธารณะว่าเป็นการ “ฮั้ว” กันหรือไม่
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 ผู้ที่ชนะการประมูลโครงการ คือกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัดเป็นผู้เสนอขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลต่ำสุดในราคา 117,227 ล้านบาท ต่ำกว่ากลุ่มบีเอสอาร์ ที่เสนอขอรับอุดหนุน 167,934 ล้านบาท ถึง 52,707 ล้านบาท สิทธิประโยชน์ที่เอกชนจะได้รับจากการเข้าดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ 1.บริหารรูปแบบโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 2.ได้สัมปทานบริหารแอร์พอร์ตลิงก์ที่มีฐานคนใช้กว่า 8หมื่นคนต่อวัน 3.ได้สัมปทานในการครอบครองพื้นที่มักกะสัน 100 ไร่ และพื้นที่รอบสถานีศรีราชา 25 ไร่เพื่อพัฒนาเชิงพาณิชย์ 4.รับมอบพื้นที่มักกะสันอีก50ไร่ที่อยู่ติดกับโรงซ่อมบำรุงรถไฟและพื้นที่เวนคืนอื่นๆ ให้กับเอกชนภายใน 5 ปี และ 5.โอกาสในการเดินรถต่อเฟส 2 วงอู่ตะเภา-ตราด
จากวันที่ชนะการประมูลจนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 ได้มีการนัดเจรจาอีกครั้งหนึ่ง แต่ทางกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์จำกัด ได้แจ้งขอเลื่อนการเจรจาไปเป็นวันที่ 13 มีนาคม 2562 ด้วยเหตุที่กลุ่มกิจการร่วมค้าฯ ได้ยื่นข้อเสนอซอง 4 (ข้อเสนออื่นๆ) 108 ข้อ ถูกปัดตก 12 ข้อ เช่น
- ลดสัดส่วนหุ่น ซีพี จาก 70% เหลือ 5%
- ให้ ธปท.ขยายเพดานเงินกู้ ซีพี
- รัฐค้ำประกัน ร.ฟ.ท. หากมีปัญหารัฐหาเงินกู้
- ขยายสัมปทานจาก 50 ปี เป็น 99 ปีดอกเบี้ยต่ำ 4%
- ห้าม ร.ฟ.ท.เดินรถแข่งกับเอกชน
- รัฐจ่ายเงินอุดหนุนตั้งแต่ปีที่ 1 จากเดิม อุดหนุนปีที่ 6
- รัฐชดเชยหากอู่ตะเภาล่าช้า
- จ่ายค่าเช่าที่ดินมักกะสัน ศรีราชา 5.2 หมื่นล้านเมื่อมีผลตอบแทน
- ผ่อนชำระแอร์พอร์ตลิงค์ 11 ปี ดอกเบี้ย 3% จากต้องจ่ายก่อนรับสิทธิเดินรถ
- รัฐการันตีผลตอบแทน 6.75%
- เปลี่ยนแบบจากยกระดับเป็นทางราบ
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.) นอกเหนือจากการให้ความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพองค์กรคือการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้ว เหนืออื่นใดซึ่งเป็นสิ่งที่กระทำมาโดยตลอดคือปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพยายามที่จะไม่ไปขัดขวางใดๆนอกจากการให้ความเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลเป็นระยะๆร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนที่ร่วมกันติดตามเรื่องนี้ แม้ว่า ทีโออาร์จะให้สามารถเจรจาได้แต่ต้องเจรจาในรายละเอียดปลีกย่อย“ไม่ใช่เจรจาในสาระสำคัญที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์”ซึ่งจากการดูข้อเสนอเป็นการเจรจาที่ทำลายหลักการสำคัญอันจะทำให้ประเทศชาติ ประชาชนเสียประโยชน์ทาง สร.รฟท.จึงมีความเห็นและข้อเสนอดังนี้
1.ข้อเสนอของผู้ชนะการประมูลเป็นข้อเสนอที่ทำลายหลักการและสาระสำคัญของโครงการ การรถไฟฯไม่ควรรับข้อเสนอที่สูงจากผู้ชนะการประมูลเพราะจะทำให้การรถไฟฯ และรัฐเสียหาย
2.ขอให้รัฐทบทวนโครงการโดยให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจตั้งแต่ต้นเพราะที่สุดแล้วผลกระทบทั้งด้านบวกและลบย่อมเป็นภาระผูกพันกับประเทศชาติในอนาคตและโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่แต่ยังไม่ผ่านการจัดทำเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)
3.เห็นสมควรให้รัฐดำเนินโครงการเองภายใต้การบริหารจัดการของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)และบริษัทรถไฟฟ้า รฟท.จำกัด(แอร์พอร์ตเรลลิงค์)โดยงบประมาณมาจากการพัฒนาที่ดินของการรถไฟฯ แล้วนำรายได้มาลงทุนในโครงการดังกล่าวซึ่งจะไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินและการก่อหนี้สาธารณะซึ่งปัจจุบันมีจำนวนที่สูงมากแล้ว
4.โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อสนับสนุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยปัจจุบันมีปัญหาอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งล้วนแต่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ เป็นการทำลายวิถีชีวิต ระบบเกษตร ระบบนิเวศน์ของพื้นที่โครงการ ประกอบกับ พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 มีหลายมาตราที่จะส่งผลเสียหายต่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน จึงเห็นควรให้ชะลอและทบทวนโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกทั้งระบบ โดยการมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจของประชาชนในทุกขั้นตอน และเสนอแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
ดังนั้นขอให้พี่น้องประชาชน เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน คนรถไฟ ที่รักความเป็นธรรมต้องการเห็นบ้านเมืองพัฒนาไปบนพื้นฐานของความร่วมมือ การมีส่วนร่วม มีความรู้ มีภูมิคุ้มกัน มีเหตุมีผล มีความยั่งยืน มีความสุขตามแนว “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”ของ“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร”ในหลวงรัชกาลที่ 9จะต้องร่วมมือสามัคคีกันเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประเทศชาติให้ถาวรสืบไป ด้วยพลังของพวกเรา ประชาชน
“ไม่ขัดขวางการพัฒนา แต่ การพัฒนาต้องไม่ฆ่าคน และเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนอย่างแท้จริง”