ไม่รู้จะเรียกว่าบ้อท่าหรือว่าฟอนเฟะ เละเป็นโจ๊กดี!
กับประกาศ กสทช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การแพร่ภาพรายการโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ (Must carry) ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการบนโครงข่ายที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ มีหน้าที่ต้องดำเนินการแพร่ภาพรายการแข่งขันกีฬามวลมนุษยชาติให้สมาชิกได้ดูอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการตัดต่อหรือปรับเปลี่ยนผังรายการ..
แม้เป็นหลักเกณฑ์ที่ กสทช. และทรูวิชั่นส์เอง มีส่วนในการผลักดันเพื่อ “แก้ลำ” บริษัทเอกชนแสบทั้งหลาย หลังจากที่ในอดีตเคยถูกบริษัทเอกชนที่ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก “ลูบคม” เอา เพราะไม่สามารถจะสั่งให้ผู้ถือลิขสิทธิ์ยินยอมให้นำรายการฟรีทีวีที่ถ่ายทอดรายการแข่งขันไปแพร่ภาพบนเคเบิ้ลทีวี หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ ได้ต้องปล่อยให้จอดำ
จึงผุดมาตรการแก้ลำรับมือผู้ถือลิขสิทธิ์จอมแสบทั้งหลายไม่ให้อาศัยช่องว่างจำกัดสิทธิ์ในการเผยแพร่รายการแข่งขันกีฬาสำคัญๆ ของมวลมนุษยชาติได้อีก!
แต่เมื่อ กสทช. บังคับใช้หลักเกณฑ์ตามประกาศดังกล่าวแบบ “สนต้องลม” จนทำให้เกิดกรณีการฟ้องร้องลิขสิทธิ์บอลโลกกันอิรุงตุงนังระหว่างบริษัททรูวิชั่น กรุ๊ป ที่อ้างได้รับสิทธิ์ดูแลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียกับบริษัท SBN ในเครือเอไอเอส ที่ให้บริการแพร่ภาพรายการโทรทัศน์แบบไม่ใช้คลื่นความถี่ผ่านแอพพลิเคชั่น AIS Play Box และ AIS Play บนสมาร์ทโฟนและอินเตอร์เน็ต ก่อนจะมีการตีความเป็นวรรคเป็นเวรในภายหลังว่า เป็นการให้บริการบนโครงข่าย OTT ที่ไม่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ Must carry
เล่นเอาทั้ง กสทช.และ SBN แทบไปไม่เป็น เพราะหากคำสั่งทางปกครองของ กสทช. ที่สั่งให้ AIS Play Box ดำเนินการแพร่ภาพรายการโทรทัศน์ภาคพื้นตามประกาศ กสทช. (ประกาศ Must carry) ก่อนหน้า กลายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แพร่ภาพของทรูวิชั่นส์ ที่ต้องให้บริษัทชดเชยความเสียหายแก่ผู้ถือลิขสิทธิ์แล้ว
หลักเกณฑ์ Must have –Must carry ที่ กสทช. ยืนยันนั่งยันมาโดยตลอดว่า สอดคล้องกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และไม่ขัดหรือแย้ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2535 นั้น กลายเป็น “เสือกระดาษ” ไปในทันที
เรื่องลิขสิทธิ์บอลโลกจบลงไปตั้งแต่ปีมะโว้ กสทช. ที่เคยมีบทเรียนกับประกาศหลักเกณฑ์ของตนเองที่แทบจะเป็นเสือกระดาษมาถึง 2-3 ครั้ง คงจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเอาได้อีก
ที่ไหนได้วันวาน 8 สิงหาคม 2562 บริษัท ทรูวิชั่น ร่อนแถลงการณ์มาใหม่ โดยระบุว่า เป็นผู้ให้บริการเพย์ทีวีเพียงรายเดียวในไทย ที่ได้รับลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษแบบเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดสด รีรัน และไฮไลท์ ครบทั้ง 380 แมตช์ ตลอด 3 ฤดูกาล
นอกจากนี้ ยังได้รับสิทธิ์เป็นผู้ถ่ายทอดสดผ่านทางออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ครบทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งแฟนบอลชาวไทยสามารถรับชมได้ทั้งจอทีวีผ่านทรูวิชั่นส์ หรือรับชมผ่านเว็ปไซต์บนโน๊ตบุ๊ค หรือแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนผ่านทรูไอดี และ TrueID Box และยังเอาใจแฟนบอลด้วยการให้สิทธิ์ถ่ายทอดสด EPI บนฟรีทีวีช่อง PPTV 30 แมตช์ โดยผู้ชมสามารถรับชมการแข่งขันทางช่อง PPTV ทั้งในระบบภาคพื้นดิน ดาวเทียม เคบิ้ล และบนกล่อง IPTV แต่จะไม่สามารถรับชมผ่านระบบ OTT และแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนได้
“ทรูวิชั่นส์ ขอย้ำว่า การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษผ่านระบบ OTT และแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทรูวิชั่นส์ ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งทรูวิชั่นส์ มีความจำเป็นจะต้องปกป้องและดูแลลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เจ้าของลิขสิทธิ์ยุติการส่งสัญญาณการแข่งขันมายังประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้แฟนบอลชาวไทยไม่สามารถติดตามรับชมรายการแข่งขันที่มีแฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุดลีกหนึ่งของโลกได้”
เจอไม้นี้เข้า ล่าสุด บริษัท เอสบีเอ็น ในเครือ เอไอเอส ร่อนหนังสือไปยังคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ใน กสทช. เพื่อขอพักการออกอากาศและยกเว้นการปฏิบัติตามประกาศ Must Carry ของ กสทช. ข้างต้นเพราะไม่อยากไปค้าความขึ้นโรงขึ้นศาลทะเลาะกับ ทรูวิชั่นส์ให้งานเข้าอีก!
แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำเอาเอสบีเอ็น ถึงกับ "หงายเงิบ" เมื่อคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ใน กสทช. ยืนยันว่า เมื่อเอสบีเอ็น (SBN) เป็นผู้ให้บริการตามประกาศ กสทช. จึงมีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามประกาศ กสทช.ว่าด้วยหลักเกณฑ์มัสต์ แคร์รี่ จึงต้องดำเนินการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษภายใต้แพลตฟอร์มของตนเองตามประกาศ กสทช. หาไม่แล้ว จะถือเป็นการทำผิดประกาศหลักเกณฑ์ กสทช.ทันที !
แปลให้ง่ายก็คือ AIS Playbox จะต้องดำเนินการถ่ายทอด ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก บนแพลตฟอร์มต่างๆ ของตนเองตามประกาศ กสทช. อย่างเคร่งครัดต่อไป ส่วนประเด็นเรื่องความเสี่ยงที่อาจถูก ทรูวิชั่นส์ กระซวกไส้ ฟ้องร้องให้เป็นคดีความให้ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลนั้น อันนั้น กสทช. บอกปัดไม่เกี่ยว!
พระเจ้าช่วย กล้วยทอด!
นี่คือมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ใน กสทช.จริงๆ หรือนี่ทำขึงขังออกประกาศ กสทช. มาซะดิบดี แต่พอบังคับให้เอกชน ต้องปฏิบัติตามจนงานเข้าต้องขึ้นโรงขึ้นศาลจะบอกปัดตัวเองไม่เกี่ยวซะงั้น!
อ่านแถลงการณ์ของทรูวิชั่นส์ และมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ข้างต้นแล้ว ก็ได้แต่ "อึ้งกิมกี่" ไม่นึกไม่ฝัน หลังบริษัทเอกชนรายที่ถือลิขสิทธิ์บอลโลกหรือพรีเมียร์ลีกอังกฤษกลายมาเป็น "ทรูวิชั่นส์" ซะเอง
กฎเหล็กมัสต์ แคร์รี่ ของ กสทช. ที่ออกมาแก้ลำบริษัทแสบทั้งหลาย วันนี้กลับ “บ้อท่า” กลายเป็นกฎเหล็กเบบี๋ เบบี๋ไปซะฉิบ!