หลังจากประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก จ.สระบุรี ทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ จำนวน 15 แปลง ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1เอ พื้นที่ประทานบัตรรวมกว่า 3,311 ไร่ 2 งาน 67 ตารางวา เนื่องจากหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติสิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่อายุประทานบัตรเหมืองแร่ยังคงเหลืออยู่ถึงวันที่ 27 เมษายน 2579 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงมีความเห็นให้ SCG ได้รับการพิจารณาผ่อนผันให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1เอ เป็นการเฉพาะรายจนสิ้นอายุประทานบัตรนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่ามติ ครม.ข้างต้นทำให้เห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มีความจริงใจและความซื่อตรงในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติตามที่กล่าวอ้างในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในยุทธศาสตร์ชาติหรือยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ก็ตาม
โดยเฉพาะกรณีของการทำเหมืองแร่ในประเทศไทยที่มีการออกพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2560 (กฎหมายแร่) ออกมา แต่ในการปฏิบัติจริงนั้นกลับไม่ได้ทำตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย โดยเห็นได้จากการออกมติ ครม.ในลักษณะดังกล่าวที่มีการผ่อนผันให้ SCG เข้าใช้พื้นที่ในเขตป่าสงวนได้ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1เอ ที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ถือเป็นพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมซึ่งมีข้อห้ามอย่างชัดเจนตามกฎหมายแร่มาตรา 17 วรรค 4 ที่ว่าพื้นที่แหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองต้องไม่ใช่พื้นที่ดังต่อไปนี้
1. พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
2 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนคุ้มครองสัตว์ป่า
3. เขตโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามกฎหมายโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
4. เขตพื้นที่ที่มีกฎหมายห้ามเข้าใช้ประโยชน์โดยเด็ดขาด พื้นที่เขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ
5. พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม
การออกมติ ครม.ผ่อนผันให้บริษัท SCG เป็นการเฉพาะรายในครั้งนี้จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายและเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนอย่างชัดเจน โดยไม่สนใจปัญหาของผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ ระบบนิเวศและสุขภาพอนามัยของประชาชนที่จะตามมาแม้แต่น้อย และการกระทำในครั้งนี้ของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.ยังเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลนี้ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายและใช้อำนาจไม่จำกัด ดังนั้น เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่จึงขอให้ทางรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.ตอบคำถามสองข้อให้ชัดเจน ดังนี้
1. ใบอนุญาตขอใช้พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติของบริษัท SCG หมดอายุตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2554 แต่ในความเป็นจริงกลับมีการทำเหมืองมาโดยตลอดแม้ใบอนุญาตการใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจะหมดอายุลงไปแล้วจริงหรือไม่ ?
2. รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.อาศัยอำนาจใดในการออกมติ ครม. ดังกล่าว เนื่องจากมติ ครม.นั้นสามารถออกได้เท่าที่ไม่ขัดกับกฎหมายหลักที่มีอยู่ ซึ่งการออกมติ ครม. ผ่อนผันให้มีการทำเหมืองในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1เอ นั้นย่อมขัดกับกฎหมายแร่อย่างแน่นอน หากรัฐบาลที่เป็นผู้ออกและใช้กฎหมายกลับทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์เสียเองโดยทำให้ "มติคณะรัฐมนตรี" มีอำนาจยิ่งใหญ่จนสามารถเขี่ย "พระราชบัญญัติ" ให้ตกไปได้ แล้วประชาชนที่ใช้กฎหมายยังจะมีความเชื่อมั่นศรัทธากับรัฐบาลนี้ต่อไปได้อย่างไร