หนึ่งปัญหาใช่ว่าจะมีแค่ทางออกเดียว และวิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ย่อมได้ผลลัพธ์ไม่แตกต่างจากเดิม 2 ข้อคิดหลักข้างต้น ผมเกริ่นนำมาก็เพื่อจะโยงไปถึงวิธีการรับมือกับปัญหาภัยแล้งของประเทศไทย ซึ่งพบว่าทุกวันนี้ ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากในอดีต เมื่อ 10-20 ปีที่ผ่านมา
พอถึงเวลาที่ภาครัฐทำแผนรับมือก็มีไม่กี่อย่าง เช่น ขอความร่วมมืองดทำนาปรัง หรือปลูกพืชใช้น้ำน้อย พืชที่แนะนำก็วนอยู่ไม่กี่ชนิด เช่น อ้อย ข้าวโพด พืชผักตระกูลถั่ว ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้แรงงานในการดูแลจำนวนมาก ที่สำคัญเกษตรกรของไทยส่วนใหญ่ก็มีอายุเกินหลัก 50-60 ปีกันไปแล้ว จะมีกำลังพอที่ไหนมาปลูกพืชพวกนี้
ที่เห็นพ่อเฒ่าแม่เฒ่ายังทำนากันส่วนใหญ่ก็ใช้ระบบมือถือทั้งนั้น คือโทรศัพท์ไปสั่งเจ้าของรถไถนาให้มาไถนาให้ โทรไปสั่งคนหว่าน คนฉีดยา ใส่ปุ๋ย โทรไปสั่งรถเกี่ยว เบ็ดเสร็จ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมแผนลดพื้นที่ทำนาปรังของรัฐจึงล้มเหลวทุกปี ยอดทะลุเกินเป้าหมายตลอด ขณะที่การชักชวนให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อย ก็ไม่เคยทำได้ตามเป้าหมาย
แต่รัฐบาลไทย โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ยังใช้ 2 แนวทางนี้เป็นแนวทางหลักในการบริหารจัดการรับมือกับภัยแล้งทุกปี ผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่เห็น นอกจากนี้ก็ใช่ว่าปลูกพืชใช้น้ำน้อยตามคำแนะนำภาครัฐแล้วคุณภาพชีวิตจะดีขึ้น ด้านการตลาดจะได้ราคาดีอย่างที่หวัง ยิ่งเป็นพืชเชิงเดี่ยวที่ต้องป้อนให้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้กับบริษัทใหญ่ๆ ของประเทศแล้วนี่แทบจะปิดประตูหนทางไปสู่การหลุดพ้นหนี้สินกันเลยทีเดียว
ผมขอชวนมาคิดนอกกรอบดูกันบ้าง วันก่อนได้มีโอกาสคุยกับพ่อค้าขายกระบองเพชร หรือแคคตัส ได้ข้อมูลน่าสนใจว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยต้องนำเข้าต้นกระบองเพชรจากประเทศจีนมาขาย ทั้งนำเข้ามาเพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศ ซึ่งตลาดยังมีความต้องการอีกมาก
ทำไมเราไม่คิดจะมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกกระบองเพชรจำหน่ายกันบ้าง ซึ่งมีข้อดีดังนี้คือ
1.เป็นพืชใช้น้ำน้อย ขอให้เป็นน้ำสะอาดเป็นใช้ได้ รดน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้งยังอยู่ได้ดี เทียบกับอ้อย ถั่วเขียว ข้าวโพด ใช้น้ำน้อยกว่ามากมาย
2.ตลาดมีความต้องการสูง โดยเฉพาะวิถีชีวิตคนเมืองที่ต้องอยู่ในห้องแคบๆ พนักงานออฟฟิศ กระบองเพชรหรือแคคตัสตอบโจทย์เรื่องความจำกัดของพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ขณะที่การส่งออกก็ไปได้ดีต่างประเทศมีความต้องการสูง สั่งซื้อกันทีเป็นตู้คอนเทนเนอร์
3.ใช้พื้นที่ปลูกน้อย แค่พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรก็สามารถผลิตกระบองเพชรได้เป็นหมื่นๆ ต้น และไม่ต้องใช้กำลังกายมากเหมือนการปลูกพืชไร่
4.เหมาะกับการทำตลาดออนไลน์ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะไม่จำเป็นต้องไปเปิดหน้าร้านให้เสียค่าเช่า กระบองเพชรสะดวกต่อการแพ้คกิ้ง การขนส่งแต่ละครั้งก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียหายเหมือนต้นไม้ชนิดอื่น
5.สร้างรายได้ดีกว่าปลูกพืชไร่มีราคาตั้งแต่ต้นละ 10-20 บาท จนไปถึงต้นหลักพันบาท
6.ทดแทนการนำเข้าจากจีน
ส่วนข้อจำกัดคงมี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ การลงทุนสร้างโรงเรือน และองค์ความรู้ที่จะถ่ายทอดให้เกษตรกร ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรง เพราะหากต้องการจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างแต่ไม่เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ก็คงวนอยู่ที่เดิม ความคุ้มค่าอยู่ที่ว่าสามารถช่วยเกษตรกรให้หลุดพ้นจากความยากจนได้หรือไม่
ลองทำเป็นโครงการนำร่องขึ้นมาก่อนก็ได้ แล้วค่อยขยายไปตามความต้องการของตลาด เพื่อไม่ให้สินค้าล้นตลาด ไม่แน่ต่อไปเราอาจได้เห็นหมู่บ้านกระบองเพชรต้นแบบเกิดขึ้นในประเทศไทยก็เป็นได้ จะแล้งแค่ไหนก็ไม่หวั่นเพราะหมู่บ้านนี้เอาอยู่
โดย..นายต้นไม้