เริ่มแรกของการต่อสู้ของกลุ่มพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ที่มีสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) เป็นแกนนำเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งเข้ามาตรวจสอบกรณีค่าเบี้ยวหรือค่าโง่ทางด่วนที่หลายรัฐบาล และผู้บริหารระดับสูงของ กทพ. อาจเพิกเฉยหรือปล่อยปละละเลยจนส่งผลต่อความเสียหายเบื้องต้นแล้วกว่า 4.3 พันล้านบาท และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 1 หรือ 3 แสนล้านบาทในอีกไม่กี่ปีนี้
“ลาภดี กลยณีย์” ประธานที่ปรึกษา สร.กทพ. ยังย้ำชัดถึงแนวทางการต่อสู้ของ สร.กทพ. ต่อไปว่า ได้ร่วมหารือกับ “สาวิทย์ แก้วหวาน” ประธานสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) อยู่เสมอถึงแนวทางการขับเคลื่อนของ สร.กทพ. เพราะหากมองแนวทางและความหวังของการรักษาผลประโยชน์ขององค์กร กทพ. และผลประโยชน์ชาติจากกรณีค่าโง่ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะฝากความหวังไม่ได้แล้วกับนายกรัฐมนตรีที่ยังเพิกเฉยไม่ลงมาติดตามเรื่องนี้แต่อย่างใด ตลอดจนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในบทบาทของอนุกรรมาธิการที่ยังโดนป่วนแถมยังโดนเตะตัดขาจนหาข้อยุติภายใน 45 วันไม่ได้
ล่าสุดยังทั้งโดนเกทับบลัฟแหลกจากภาคเอกชนคู่กรณี อย่างบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ที่เปิดโต๊ะแถลงผ่านสื่อว่า หาก กทพ. ยังดื้อดึงต่อสู่ต่อไปอีก จากค่าโง่ก้อนแรกจำนวน 4.3 พันล้านบาท อาจเพิ่มเป็น 3 แสนล้านบาทในที่สุด
โดย “พงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล” กรรมการบริหาร BEM แจงผ่านสื่อว่า ข้อพิพาทที่มีระหว่าง BEM กับ กทพ. ทั้ง 17 คดีนั้น เกิดจาก 2 ประเด็นหลัก คือ เรื่องผลกระทบจากการแข่งขัน และเรื่องการไม่ปรับค่าผ่านทางตามสัญญา โดยเรื่องการแข่งขันนั้นมีผลกระทบกับทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด มาตั้งแต่ปี 2542 จะสิ้นสุดสัญญาในปี 2569 มูลค่าข้อพิพาทถึงสิ้นปี 2561 เท่ากับ 78,908 ล้านบาท หากรอถึงสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็นอีกท่าไหร่ยังมีแนวโน้มต่อไป
ขณะที่ข้อพิพาทการไม่ปรับค่าผ่านทางนั้นเรื่องนี้จะเกิดทุกๆ 5 ปี จนจบสัมปทานทั้ง 3 สัญญา ซึ่งมูลค่าข้อพิพาทถึงสิ้นปี 2561 เท่ากับ 56,034 ล้านบาท และหากถึงสิ้นปีนี้เพิ่มอีกเพียบแน่ๆ ดังนั้นหาก กทพ. ต่อสู้ทุกคดีจนถึงที่สุดความเสียหายเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะสัญญาสัมปทานยังไม่สิ้นสุด ยังมีเงินต้น-ดอกเบี้ยเพิ่มอีกมากนั่นเอง
ประการสำคัญยังย้ำชัดเจนอีกว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้น “ไม่ใช่ค่าโง่” เพราะไม่ได้เกิดจากการทำสัญญาที่ผิดพลาด หรือมีการทุจริตแต่อย่างใด สัญญาสัมปทานก็เป็นไปตามสัญญาที่เป็นธรรมระหว่างรัฐและเอกชน ทั้งเรื่องทางแข่งขันและการปรับค่าผ่านทางเป็นเรื่องทางสัญญาที่ตกลงกันไว้ รัฐอาจมีความจำเป็นและเหตุผลในการสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์ส่วนต่อขยาย หรือเกรงว่าการขึ้นค่าผ่านทางจะกระทบประชาชน แต่ผลกระทบเกิดขึ้นกับ BEM แล้ว กทพ.ไม่ได้ชดเชยตามสัญญา ก็เกิดการผิดสัญญานำไปสู่การพิพาทในท้ายที่สุด กรณีเช่นนี้น่าจะถือเป็น “ค่าเบี้ยว” มากกว่า “ค่าโง่” เพราะไม่มีใครโง่หรือฉลาดในเรื่องนี้
แม้ว่าในการเจรจา กทพ. ขอนำข้อพิพาทเรื่องผลกระทบทางแข่งขัน ซึ่งอ้างอิงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดมาเจรจาโดยมูลค่าข้อพิพาททั้งหมดยุติกันที่จำนวน 58,873 ล้านบาท โดย กทพ. จะขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน ABC ส่วน D และทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ออกไปสัญญาละ 30 ปี แทนการจ่ายเงิน ในส่วน BEM นั้น มีหน้าที่ในการให้บริการและบำรุงรักษาทางด่วนเดิมทั้ง 3 สายทาง พร้อมกับก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 หรือ Double Deck จากงามวงศ์วาน-พระราม 9 ระยะทาง 17 กม. ก่อสร้างช่องบายพาส แก้จุดตัดจราจรบริเวณแยกอโศก 2 จุด ขยายพื้นผิวจราจรบริเวณมักกะสัน และพระราม 6 อีก 2 จุดรวมมูลค่าลงทุน 3.1 หมื่นล้านบาท
ท้ายที่สุดคงต้องตามลุ้นกันว่า ผลสรุปจะออกมาอย่างไร ใครมีนอกมีในกันแน่ ใครหารายได้ด้วยการเอาภาษีประชาชนไปจ่ายค่าเบี้ยวหรือค่าโง่ครั้งนี้ อีกทั้งยังวัดใจนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะหาทางออกในเรื่องนี้อย่างไร ก่อนชงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เคาะอนุมัติตามที่เสนอต่อไป แถมยังได้ติดตามกันว่าในเร็วๆ นี้ สร.กทพ. และ สรส. จะจัดสัมมนาผ่าทางตันเรื่องนี้ผลสรุปจะสู้หรือถอยปล่อยให้รัฐเอาภาษีประชาชนคนทั้งประเทศไปจ่ายค่าเบี้ยวหรือค่าโง่คงได้เห็นความชัดเจนในเร็วๆ นี้