แบงก์ชาติยังจะเป็น “อิสระ” ในการบริหารนโยบายการเงินได้อย่างไร?
เมื่อ “รัฐบาลลุงตู่” ดึงดันตั้ง “คณะกรรมการร่วมนโยบายการเงินการคลัง”..
แถมยังเชิญตัวแทนเอกชนรายใหญ่ “สมาคมแบงก์-สภาอุตฯ-สภาหอการค้าฯ” ร่วมก๊วน “ความลับ-ข้อมูลลึก” จะหลุดไปทำกำไรให้ใครกลุ่มใด?
น่าสนใจนัก!
ในวันเดียวกับที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังกระทรวงการคลัง (7 ส.ค.) ด้วยการหนีบเอา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในสังกัดพรรคภูมิใจไทย เข้าไปด้วย และมีนายอุตตม สาวนายน หน.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ รมว.คลัง ผู้เป็น “เจ้าบ้าน” คอยให้การต้อนรับ
นัยว่า...ครั้งนั้น เพื่อติดการเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้งกว่า 50 แห่ง พร้อมกับกำชับให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ต่างเร่งรัดแผนการลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ควบคู่ไปกับคิดแผนการลงทุนครั้งใหม่ของปีถัดไป (2563) เพื่อเสนอไปพร้อมกัน ให้ “เจ้ากระทรวงต้นสังกัด” ได้พิจารณา ก่อนนำเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรี เพื่อที่นายสมคิดจะได้กระตุ้นเตือนทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี “ขานรับ” แผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจต่อไป
ด้วยเหตุผล...”เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย” ไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน ต่างก็หดตัวพร้อมกันอย่างถ้วนหน้า จะเพราะปัญหาสงครามการค้าและค่าเงิน “สหรัฐฯ-จีน” หรือเพราะกำลังซื้อของประเทศคู่ค้ามีปัญหา รวมถึงอาจเป็นเพราะ...ศักยภาพของไทยเอง
แต่ทั้งหมดนี้...ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตของจีดีพี และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งในและนอกประเทศทั้งสิ้น ที่มีต่อไทยอย่างมาก
เหลืออยู่แค่ขาเดียวในซีกของรัฐบาล นั่นคือ “การลงทุนภาครัฐ“ ซึ่งรวมถึงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเข้าไปด้วย ที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังแอบหวังใจลึกๆ ว่า...
สิ่งนี้ ยังพอจะสั่งการได้อยู่บ้าง และน่าจะเป็นเพียง “ปัจจัยเดียว” ที่พอจะหนุนนำเศรษฐกิจของไทยในยามนี้ได้
แม้ในใจจะรู้ลึกๆ ว่า...ต่อให้การลงทุนภาครัฐ เดินเครื่องเต็มกำลังสักเพียงไหน? มันก็ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้แค่ 20-30% เท่านั้น
ซึ่งนั่น...มันอ่อนแรงเกินกว่าจะผลักดันให้เศรษฐกิจทั้งระบบของไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างที่หวัง
อีกฟากหนึ่ง ในช่วงเวลาไม่ห่างกันมากนัก ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้มีการรายงานผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ออกมาว่า...
ที่ประชุม กนง. มีมติ 5: 2 ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% กล่าวคือ จากเดิม 1.75% เหลือเพียง 1.50%
ท่ามกลางสถานการณ์ “สงครามเศรษฐกิจ” ที่เริ่มจะแปรรูปเป็น “สงครามการเงิน” หลังจากทางการจีนประกาศลดค่าเงินหยวนลง เมื่อวันที่ 8 ส.ค.62 โดยตีค่าเงินหยวนของจีนเหลือเพียง 7.0039 หยวนต่อดอลลาร์ ส่งผลทำให้เงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นทันที ทั้งเมื่อเทียบกับหยวนของจีน และดอลลาร์ของสหรัฐฯ
แถมยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย ที่อยู่ในภาวะหดตัวและถดถอยอย่างรุนแรง จนนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญจากหลายสำนัก ต่างประเมินในทิศทางเดียวกัน ก่อนหน้านี้ว่า...การส่งออกของไทยในปี 2562 นี้ คงจะโตได้เพียง 0%
ทว่าเมื่อมีเหตุการณ์ “ลดดอกเบี้ย - ค่าเงินบาทแข็ง” เข้ามาแทรก สิ่งนี้...อาจทำให้การส่งออกของไทยในสิ้นปีนี้ ถึงกับ “ติดลบ” ได้ หากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ดำเนินการอะไรสักอย่าง
นั่นจึงเป็นที่มาของแนวคิดที่จะหยุดยั้งความเป็น “อิสระ” ของแบงก์ชาติ เพราะทั้ง “ดอกเบี้ยและค่าเงินบาท” ต่างอยู่ในความรับผิดชอบของแบงก์ชาติ ในฐานะที่กำกับดูแล “นโยบายการเงิน” ของประเทศ
และเป็นที่มาของแนวคัดในการจัดตั้ง “คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ” และจัดตั้ง “คณะกรรมการร่วมนโยบายการเงินการคลัง” โดยควบรวมหน่วยงาน “เรคกูเรเตอร์” ทางด้านการคลัง (กระทรวงการคลัง) การเงิน (แบงก์ชาติ) และตลาดทุน (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.) มาไว้รวบกัน
ตอกย้ำสิ่งนี้ จากคำพูดของ นายสมคิด ที่ระบุว่า... “ได้มีการหารือกับท่านนายกรัฐมนตรีเพื่อให้มีการประชุม ครม.เศรษฐกิจ เพื่อให้มีกลไกในการบริหารเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยหาแนวทางขับเคลื่อนนโยบายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายให้ดีขึ้นได้ รวมถึงการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.)”
รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ ยังย้ำอีกว่า “ครม.เศรษฐกิจมีประโยชน์ตรงที่มีการหารือกันของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในเรื่องที่จะทำ และต้องประสานงานกับกระทรวงเศรษฐกิจอื่น เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไปข้างหน้า โดยนายกฯเป็นซีอีโอของคณะรัฐบาล” พร้อมกับระบุ เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนจาก “สงครามการค้า” จนลุกลามไปเป็น “สงครามค่าเงิน” จำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว
“การตั้งคณะกรรมการดังกล่าว จะเป็นการทำงานกันอย่างใกล้ชิดกระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และหน่วยงานอื่น เพื่อให้นโยบายการเงินกับนโยบายการคลังไปด้วยกัน หารือใกล้ชิด ไม่ใช่ต่างคนต่างไป จะบอกว่าผมเป็นอิสระ เมืองไทยไม่มีแล้วอิสระ เพราะฉะนั้น การเงินการคลังต้องไปด้วยกัน มือซ้ายกับมือขวาไปด้วยกัน” นายสมคิด ระบุ
หลายฝ่าย ทั้งผู้บริหารจากแบงก์ชาติ นักวิเคราะห์และนักวิชาการด้านเศรษฐกิจ ต่างเห็นตรงกันว่า...รัฐบาลกำลังจะเข้าไปแทรกแซงการทำงานของแบงก์ชาติหรือไม่?
จากนี้ไป...ความเป็น “อิสระ” ของแบงก์ชาติ ในการกำกับดูแลนโยบายด้านการเงิน จะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่?
เมื่อมีคณะกรรมที่เรียกว่า “คณะกรรมการร่วมนโยบายการเงินการคลัง” ขึ้นมาครอบแบงก์ชาติอีกชั้นหนึ่ง!
แม้ นายสมคิดจะย้ำว่า...นี่ไม่ใช่การแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานใด เป็นเพียงการประสานงานและติดตามการทำงานระหว่างกัน อีกทั้งแต่ละหน่วยงานยังคงดำเนินงานในส่วนของตนได้เช่นเดิมนั้น
แต่การพ่วงเอา “คนนอก” ซึ่งมีส่วนได้-เสียกับการกำหนดนโยบาย และ/หรือ ดำเนินมาตรการ ทั้งทางด้านการคลังและการเงิน
รวมถึงด้านตลาดทุน อย่าง...ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตัวแทนภาคเอกชน อย่าง...คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มีคนของสมาคมธนาคารไทย (ธนาคารพาณิชย์) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มาอยู่ในคณะกรรมการฯชุดนี้
แน่ใจได้อย่างไรว่า...“คนนอก” มียึดโยงปรัชญา “ทำกำไรสูงสุด” จะไม่อาศัย “ข้อมูลภายใน” ไปหาประโยชน์จากนโยบายและมาตรการของภาครัฐ
รวมถึง “ยัดไส้” ใส่ความต้องการของตัวเองเข้าสู่ที่ประชุม “คณะกรรมการร่วมนโยบายการเงินการคลัง”
อย่าลืมว่า...ก่อนเกิดเหตุการณ์ “ลดค่าเงินบาท” ของแบงก์ชาติ เมื่อช่วง ก.ค.2540 นั้น มีคนบางกลุ่ม? ได้ประโยชน์จาก “ข้อมูลภายใน” ค้ากำไรจากส่วนต่างของค่าเงิน ฟันผลประโยชน์นับพันนับหมื่นล้านบาท ด้วยการขนเงินบาทออกไปขายแลกเป็นการถือครองเงินดอลลาร์
ทำให้ จอร์จ โซรอส “พ่อมดการเงินของโลก” มีเงินบาทกลับมาฟาดฟันแบงก์ชาติ จนต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และเป็น “ต้นเหตุ” ของวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง”
ผ่านมา 22 ปี รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมจะตั้ง “คณะกรรมการร่วมนโยบายการเงินการคลัง” โดยเอาตัวแทนภาคเอกชน มาอยู่ร่วมคณะกรรมการชุดนี้...
น่าสนใจว่า...ไม่เพียงความ “ไม่เป็นอิสระ” ของแบงก์ชาติ หากยังมี “คนนอก” เข้ามาล่วงรู้ “ข้อมูลภายใน” ของหน่วยงานรัฐ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า...พวกเขาจะไม่หาประโยชน์จากการนี้
ในเมื่อ...คนรุ่นก่อนของพวกเขา เคยทำกำไรจากการ “ลอยตัวเงินบาท” มาก่อนแล้ว!!!.
โดย..กากบาทดำ