ทุนต่างชาติกลุ่มใหม่ มิต่างจากกลุ่มเก่า ที่พากัน “ดูดเงิน” ออกจากเมืองไทย จนแทบจะไร้เงินหมุนเวียนภายในประเทศ แล้วมันต่างอะไรจากบ่อนพนัน ที่เหลือแต่ “คนเจ๊ง” เล่นกันเอง
สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยยามนี้...มีคนเปรียบเปรยให้ได้ฟัง ฟังแล้วก็รู้สึกปวดใจ เขาเปรียบเทียบ...มันมิต่างจากวงพนันที่ “คนได้” ทยอยเลิกเล่น ในวงพนันเหลือแค่ “คนเจ๊ง” เล่นกันเอง!!!
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ...เศรษฐกิจไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า...มีอัตราการเติบโตของห้างค้าปลีกต่างชาติสูงเป็นจำนวนมาก ทั้งในแง่ของจำนวนสาขา ยอดขาย และผลกำไรที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แล้วยังจะมีร้านสะดวกรายเล็กรายใหญ่ ที่ซื้อ “เฟรนไชส์” จากเมืองนอก...มาดูดเงินจากกระเป๋าของคนไทยอีก นี่ยังไม่นับรวมเฟรนไชส์ร้านอาหารและเครื่องที่แย่งผุดกันเป็นดอกเห็น
รวมถึงกิจการและอุตสาหกรรมของต่างชาติ ที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ จากข้อมูลระบุว่า...คนไทยได้เพียงค่าจ้างเงินเดือน รวมกันไม่เกิน 15% ของรายได้เต็ม
ส่วนเรื่องภาษีที่จะตกเป็นของแผ่นดินนั้น “เหลือน้อยเต็ม” เพราะรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างบีโอไอ ต่างประเคนเงื่อนไขแรงจูงใจให้ทุนต่างชาติกลุ่มนี้อย่างมากมาย ทั้งยกเว้นภาษี ทั้งให้สิทธิประโยชน์และสิทธิพิเศษอื่นๆ...เพียบ!!!
เรื่องภาษีเงินได้ฯ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจากนายจ้างต่างชาติ แทบไม่กระเด็นเข้าคลังหลวง แม้จะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ก็เหอะ...สุดท้าย ต่างชาติกลุ่มนี้ ยังสามารถเคลมภาษีซื้อ-ภาษีขายได้อีก
แน่นอน...กลุ่มทุนต่างชาติพวกนี้ “ฟันกำไร” ก็ต้องขนเงินออกจากประเทศไทย ถือเป็นเรื่อง “ไม่ปกติ” ที่ปกติ?
แต่ละปี มีการคาดการณ์กันว่า...นักลงทุนต่างชาติขายสินค้าให้คนไทย แม้ส่วนใหญ่จะซื้อและนำสินค้าที่ผลิตในไทยมาขายให้กับคนไทย แต่ก็เริ่มมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในไทย เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลพวงจากการค้าเสรีในกลุ่มชาติอาเซียน
สุดท้าย คนไทยและประเทศไทยแทบไม่ได้อะไรจากสินค้านำเข้าที่วางขายในห้างค้าปลีกของต่างชาติ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ “ขนเงิน” ออกนอกประเทศ มากถึง 3-4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่จะขยายการลงทุนในไทย เป็นอยู่อย่างนี้...มายาวนานและต่อเนื่องกว่า 10 ปี
แม้แต่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ของไทย ไล่กันมา 20 อันดับแรก...ต่างก็ขนกำไรจากการลงทุนและขายสินค้าให้คนไทย เพื่อนำเม็ดเงินเหล่านั้นไปลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งตัวสำคัญ...อย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านที่มีรั้วบ้านชิดกัน ไปไกลถึงเมืองจีนและหลายชาติในเอเชีย
จะเหลือ “เม็ดเงิน” หมุนเวียนภายในประเทศ เพื่อนำมาลงทุนขยายกิจการและจ้างงานคนไทย ก็น้อยเต็มทน
“สำนักข่าวเนตรทิพย์” ถึงต้องยืมวลีเด็ดของใครบางคน? มาเล่าสู่กันฟัง ว่า...เขามองและเปรียบเปรยสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยยามนี้ เสมือน “บ่อนพนันที่มีแต่คนเสียเงินเล่นกันเอง” เพราะคนได้เงิน...ชนะพนัน หนีกันไปหมดแล้ว
มิต่างจากพฤติกรรมที่ กลุ่มทุนต่างชาติขนเงินกำไรออกนอกประเทศไทย และกลุ่มทุนของคนไทยเอง ก็ขนเม็ดเงินไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เม็ดเงินที่จะเหลือให้ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ เหลือให้คนไทยได้ถือครองเพื่อจับจ่ายใช้สอย หรือเก็บออมเป็นทุนชีวิตในอนาคต...น้อยเต็มทน
กลุ่มเก่า...ต่างขนหนีไปแล้ว ทว่ากลุ่มใหม่ หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันเข้ามา ล่าสุด สดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมานี้ กลุ่มทุนต่างชาติจากสหรัฐฯ ในนาม คณะผู้แทนสภาธุรกิจ สหรัฐอเมริกา-อาเซียน (US-ASEAN Business Council) เดินทางมาพบกับ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของไทย นัยว่า...เพื่อหารือถึงแนวทางการเข้าถึงบริการทางการเงินและประเด็นด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน
เป็นนายอุตตม ที่บอกกับ “ผู้สื่อข่าว” ที่กระทรวงการคลังว่า นักลงทุนต่างชาติกลุ่มนี้พร้อมจะเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาบุคลากร ด้านเทคโนโลยี รวมถึงด้านการเงินดิจิทัล เนื่องจากเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ อีกทั้งที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งนี้ได้ตอกย้ำในความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น
โดยรัฐบาลมีแผนอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านมาตรการต่างๆ ทั้งจากงบกลาง เงินทุนจากแบงก์รัฐ และอีกหลายส่วน อาทิ การลดหย่อยภาษีเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายของชาวบ้าน โดยมาตรการเหล่านี้จะเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท
ขณะที่ “โฆษกกระทรวงการคลัง” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า คณะสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน ที่เข้าพบนายอุตตมนั้น มีมากถึง 107 ราย จาก 46 บริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกา นำโดยนาย Alexander Feldman ประธานและผู้บริหารของ USABC ในโอกาสเยือนประเทศไทย โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจไทย นโยบายและมาตรการของกระทรวงการคลังในด้านต่างๆ อาทิ การให้บริการด้านการเงิน ภาษีอากร เศรษฐกิจดิจิทัล และการส่งเสริมลู่ทางการค้าการลงทุน เป็นต้น
รมว.คลังของไทย ชี้แจงต่อคณะ USABC ถึงสถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ว่า ในปี 61 เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเจริญเติบโตที่ร้อยละ 4.1 สูงสุดในรอบ 6 ปี อย่างไรก็ตาม ในปี 62 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและภาวะตึงเครียดทางการค้า ทั้งนี้ รมว.คลัง ยังได้สร้างความเชื่อมั่นต่อคณะ USABC ว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งและสามารถรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดี ซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมมาตรการเศรษฐกิจด้านต่างๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ ให้สามารถเดินหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไป
ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันระหว่างประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อ อาทิ Fitch Ratings และ Moody,s ที่ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น นอกจากนี้ World Economic Forum ได้ปรับเพิ่มอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยให้ดีขึ้นเป็นอันดับที่ 38 จาก 140 ประเทศ และ Institute for Management Development (IMD) ได้ปรับเพิ่มดัชนีขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยปี 62 เป็นอันดับที่ 25 จากอันดับที่ 30 ในปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับธนาคารโลกได้จัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยให้อยู่ในอันดับ3 เมื่อเทียบกับสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เป็นต้น
นอกจากนั้น รมว.คลัง ยังได้ชี้แจงต่อคณะ USABC ถึงความคืบหน้าของกระทรวงการคลังในการสนับสนุนการอำนวยความสะดวกทางการค้า ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ รวมทั้งชักชวนให้คณะUSABC ขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) โดย รมว.คลัง ยังให้ความสำคัญต่อการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในด้านกายภาพและด้านดิจิทัล
รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยได้เชิญชวนให้บริษัทสมาชิก USABC มาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนและช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมในประเทศไทย ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและสมาชิกอาเซียนได้
ทั้งนี้ การพบปะกับกลุ่มนักธุรกิจ USABC นั้น เป็นโอกาสอันดีที่ได้หารือร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย อีกทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพการค้าการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาต่อไป
อย่างที่รู้กัน การเชิญชวนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เราก็ต้องมอบสิทธิพิเศษและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับเขา...สุดท้าย นักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยรอบใหม่นี้ จะมีกลวิธีเดียวกับกลุ่มอื่นๆ ก่อนหน้านี้หรือไม่?
เม็ดเงินที่เหลือหมุนเวียนในประเทศไม่มากนัก ยังจะถูก “ขนออกไป” เหมือนเช่นที่เป็นอยู่เปล่า? ทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่คนไทยควรตระหนัก เปิดช่องให้เขาเข้ามาดูดเงินออกจากกระเป๋นของคนไทย แล้วจะทำอย่างไรมิให้...ต่างชาติกลุ่มใหม่นี้ขนเงินออกจากประเทศไทย
ตรงนี้...สำคัญที่สุด! เพราะเกมพนันรอบใหม่ คนไทยยังคงเจ๊ง! เหมือนที่เคยเป็นทุกครั้งไป!!!.
โดย..กากบาทดำ