ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ (19 สิงหาคม 2562) นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซูเปอร์บอร์ด ได้โพสต์เฟสบุ๊คต่อเนื่องในหัวข้อ "การบินไทย..ยังไงผมก็ยังรักคุณเท่าฟ้า(อยู่นะครับ)" โดยระบุว่า
เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมเขียนวิจารณ์สถานะการเงินของการบินไทย ได้มีการแชร์ต่อ และมีสื่อนำไปเผยแพร่กว้างขวางตามสมควร กับได้มีคอมเมนต์บางอันในทำนองด่าว่าผม ว่าตอนเป็นกรรมการไม่เห็นทำอะไรเลย กับมีผู้บริหารฝากต่อว่ามาว่า ผมเอาแต่จิกกัด ไม่เห็นมีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อะไร
…ขอเรียนว่าตอนที่ผมเข้าไปเป็นกรรมการ 30 เดือน ช่วง 2552-2554 นั้น ได้ร่วมกับ ดร.ปิยสวัสดิ์ และกรรมการ และผู้บริหารขณะนั้นท่านอื่นๆ พลิกฟื้นผลการดำเนินงานจากขาดทุน 21,314 ล้านบาท ในปี 2551 มามีกำไรรวมกันสองปี 2552-2553 รวม 22,700 ล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท และได้ทำการเพิ่มทุนจากตลาดทุนได้อีก 15,000 ล้านบาท ทำให้มีเงินกองทุน สูงถึงเกือบแปดหมื่นล้านบาท วางแผนปฏิรูปฝูงบินสั่งชื้อเครื่องใหม่ไป 37 ลำ
หลังจากที่ผมถูกขอจากฝ่ายการเมืองให้ลาออก และ ดร.ปิยสวัสดิ์ ถูกปลดในปี 2554 การบินไทยก็ขาดทุนต่อเนื่องมาเกือบทุกปี (เข้าใจว่ากำไรไม่กี่สิบล้านปีเดียว) จนทุนร่อยหรอเหลือเพียง 16,000ล้านบาท …ขอเรียนว่า ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว แต่ผมยังผูกพันรักการบินไทย เช่นเดียวกับคนไทยอื่นๆ อีกไม่น้อย ที่เขียนวิจารณ์ติติงนั้นก็ด้วยความหวังดีเป็นที่ตั้ง
เมื่อต้นปี2557 ผมเคยเขียนวิเคราะห์ปัญหาของการบินไทยไว้สี่ตอนยาวๆ กับตอนที่เป็น Super Board ที่ร่วมพยายามแก้ปัญหา ได้เขียนไว้อีกสองตอน
เลยขอเอามาโพสต์ไว้อีกที …ซึ่งถึงแม้เวลาจะผ่านมาร่วมห้าปี แต่รากฐานปัญหาต่างๆก็ยังเหมือนเดิม และยังไม่ได้รับการแก้ไข หวังว่าถ้าท่านอ่านให้ละเอียด แล้วค้นคว้าวิเคราะห์เพิ่มเติม จะหาทางแก้ปัญหาพลิกฟื้นสายการบินแห่งชาติได้สำเร็จ
…ยังไงๆ ผมก็ยังรักคุณเท่าฟ้าอยู่นะครับ …การบินไทย
การบินไทยเป็นกิจการที่คนไทย(เคย)รัก ...และภูมิใจมากที่สุดแห่งหนึ่ง
การบินไทยกำลังอยู่ในสถานะย่ำแย่... ผลประกอบการตกต่ำขาดทุนสุทธิในปี 2556จำนวน 13,020 ล้านบาท ขาดทุนรวมตั้งแต่ปี 2554 รวม 3 ปี เกือบสองหมื่นล้านบาท หรือถ้านับจากปี 2551 รวมหกปี การบินไทยก็ขาดทุนรวมถึง 17,168 ล้านบาท เรียกว่าขาดทุนหนักปีเว้นปีทีเดียว ทำให้ทุนร่อยหรอเต็มที อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มปาเข้าไป 5:1 แถมที่ร้ายกว่านั้น คือ ทุกวันนี้ก็ยังขาดทุนอยู่ประมาณเดือนละ พันล้านบาท ซึ่งถ้าไปในอัตรานี้ ก็เป็นที่แน่ใจได้ว่า จะขาดทุนหนักสองปีติดต่อกัน และน่าจะผิดเงื่อนไขการกู้ภายในอีกไม่กี่เดือน ทำให้ต้องกลายเป็นกิจการที่มีปัญหาหนักทางการเงิน หุ้นก็ตกจากที่เคยเป็น 55 บาท เหลือแค่ 13-14บาท....จนน่าเป็นห่วงว่าจะล่อแหลมต่อการล้มละลาย หรือไม่ก็กลับมาเป็นภาระการคลังให้ผู้เสียภาษีต้องแบกไว้ เหมือนรัฐวิสาหกิจห่วยๆอื่นอีกหลายแห่ง
ยิ่งกว่านั้น...อันดับความนิยมในการใช้บริการ ของลูกค้าก็ถดถอยตกต่ำลงเรื่อยๆ อันดับที่ประเมินโดย Skytrax ซึ่งถือว่าน่าเชื่อถือที่สุด ก็ถดถอยลง จากอันดับ 5 ในปี 2011 ลงมาเป็นอันดับ 9 ในปี 2012 แล้วเป็น อันดับ 15 ในปัจจุบัน ถูก Malaysian Airline ที่เครื่องเพิ่งหายไปลำนึงแซงไปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปีกลาย (น่าดีใจที่ปีหน้าน่าจะแซงกลับได้นะครับ) แถมดาวถูกริบไปดวงนึง จากสายการบินห้าดาว กลายเป็นสี่
ทำไม "การบินไทย" ที่พวกเราก็รักเท่าฟ้า ถึงได้ตกต่ำย่ำแย่ขนาดนี้....
จะว่าเป็นเพราะซวย... ประเทศดันมีเรื่องห่วยๆ มาเยือนแทบไม่เว้นแต่ละปี เริ่มแต่ไข้หวัดซาร์ หวัดนก มีจลาจลปิดสนามบิน จลาจลเผาสี่แยก น้ำท่วม รวมไปจนปิดกรุงในปัจจุบัน (ที่ใครบางคนบอกว่าถึงเศรษฐกิจจะยับ ก็ต้องจำยอม)...ก็ไม่น่าจะใช่ ...เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยว ผู้ใช้บริการการบินก็ยังเพิ่มพรวดตลอดมา จนสนามบินแทบระเบิด ทั้งๆ ที่เปิดใช้ตั้งสองแห่งเกินแผนการแต่แรกด้วยซ้ำ ...สายการบินอื่นๆ เค้าก็เบิกบานกำไรกันดีทั่วหน้า แถมเมื่อปีที่แล้ว เก้าเดือนแรก "การบินไทย" ก็ขาดทุนไปเก้าพันล้าน ในขณะที่สถานการณ์ต่างๆ ยังเป็นไปด้วยดี
แล้วอะไรเป็นสาเหตุแท้จริงแห่งความตกต่ำล่ะครับ...จะแก้ไขอย่างไร เรามีโอกาสที่จะเห็น "สายการบินแห่งชาติ" แห่งนี้ กลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟู เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวไทย ...หรือว่า "การบินไทย" ที่เคยรุ่งเรืองจะกลายเป็นอดีต เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวันหวนกลับมา เหมือนๆ กับ "การรถไฟฯ" ที่ครั้งหนึ่ง(นานมากแล้ว)เคยหรูหราน่านั่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นองค์กรที่ดี เป็นที่รวมของบุคคลากร ของวิศวกรคุณภาพชั้นนำของประเทศ
โดยส่วนตัว ...ผมมีความผูกพันกับการบินไทยค่อนข้างมาก นอกเหนือจากเป็นลูกค้าผู้ภักดี (เลือกบินกับการบินไทยกว่าครึ่ง)แล้ว ผมยังมีเรื่องสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการบินไทยเป็นพิเศษอีกสามเรื่อง
เรื่องแรก...ภัทรฯ เป็นที่ปรึกษาในการนำ "การบินไทย" เข้าระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2534 (ร่วมกับ บง.เอกธนกิจ) เราช่วยวางโครงสร้างทางการเงิน ปรับเรื่อง Governance แล้วช่วยขายหุ้นได้เงินรวม 14,000 ล้านบาท นำไปขยายฝูงบิน (ขายหุ้นละ 60 บาท ราคาที่ไม่เคยมีใครเห็นอีกเลย) หลังจากนั้น ภัทรฯ ยังขายหุ้นให้การบินไทยอีก 2 ครั้ง คือ เมื่อปี 2546 ได้เงิน 20,550 ล้าน (หุ้นละ 50 บาท) กับเมื่อปี 2553 ได้เงิน 15,000 ล้านบาท(หุ้นละ 31 บาท) เรียกว่า ผมช่วยการบินไทยเอาเงินจากตลาดไปรวมถึงเกือบห้าหมื่นล้านบาท(เทียบกับเงินกองทุนปัจจุบันที่เหลือแค่ 53,000ล้าน แล้ว เท่ากับผมช่วยหาให้ถึง 95% เลยทีเดียว) แล้วนักลงทุนก็ขาดทุนกันทั่วหน้า ทั่วโลก (มูลค่าเหลือแค่หนึ่งในสี่ของเงินที่ลง) ช่างเป็นประสบการณ์ที่แสนขมขื่น
เรื่องที่สอง...เมื่อปี 2544 ผมถูกทาบทามจากท่านรองนายกฯ สมคิด และท่านทนง พิทยะ ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของการบินไทย ให้เข้าทำงานในตำแหน่ง DD (President) ซึ่งทั้งสองท่านได้กรุณาเลี้ยงข้าวเกลี้ยกล่อมผมอยู่หลายชั่วโมง แต่ผมก็ยืนกรานปฏิเสธด้วยเหตุผลสามข้อ คือ หนึ่ง..ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจการบิน สอง..ผมไม่เคยและไม่คิดอยากจะบริหารองค์กรใหญ่ที่มีคนเป็นหมื่น และสาม..ที่สำคัญเงินเดือนที่ท่านเสนอ (ซึ่งท่านยืนยันว่าสูงที่สุดในรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง) นั้น มันแค่หนึ่งในสี่ของเงินเดือนที่ผมได้รับจาก Merrill Lynch Phatra ...พอผมยืนกรานไม่ยอมเป็น ท่านก็บอกว่า "งั้นเอ็งมาช่วยเป็นกรรมการหน่อยแล้วกัน" ผมก็ขอตัวอีก บอกว่า ขี้เกียจไปรวบรวมแจ้งบัญชีทรัพย์สิน เดี๋ยวตกหล่นจะผิดอาญาเสียเปล่าๆ... อีกอย่าง กรรมการการบินไทยใครๆ ก็อยากเป็น (สมัยนั้นยังได้สิทธิ์บินฟรีตลอดชีวิตอยู่) ขอให้ท่านเก็บไว้ "ตกรางวัล" คนอื่นดีกว่า ผมถนัดซื้อตั๋วเองได้
ส่วนเรื่องที่สาม...เพิ่งเกิดเมื่อปี 2552 หลังจากขาดทุนยับกว่าสองหมื่นล้านในปี 2551 ผู้บริหารเก่าลาออกไป รัฐบาล(อภิสิทธิ์) ร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ที่ดูแลคมนาคมอยู่จึงพยายามวางแผนฟื้นฟู "การบินไทย" ผมได้รับทาบทามจากรัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกวณิช ขอให้มาเป็นกรรมการ ซึ่งตอนแรกผมก็บ่ายเบี่ยงเช่นเคย แต่ท่านบอกว่า "คราวนี้ต้องขอร้องจริงๆ เพราะการบินไทยกำลังแย่มาก" กับอยากให้มาช่วย ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ ซึ่งเป็นคนที่ผมนับถือชอบพอ ผมเลยยอมมาช่วยเป็นกรรมการอยู่สองปีเศษ พอเค้าเปลี่ยนรัฐบาล ผมก็ถูกขอโดยการกระซิบให้ลาออก ซึ่งทำให้ผมถูกต่อว่าอย่างรุนแรงจากนักลงทุนสถาบันรายหนึ่ง ว่าขาดความรับผิดชอบ ได้รับแต่งตั้งจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมด แต่กลับมาลาออกจากการ "กระซิบ" ของนักการเมือง เค้าบอกว่าที่ซื้อหุ้นเพราะผมเข้ามาเป็นกรรมการ (หลังจากผมลาออก หุ้นการบินไทยตก 5 บาท ในหนึ่งอาทิตย์) แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน... เจออีกที เค้าปราดเข้ามาจับมือขอบใจที่ลาออก ทำให้เค้าขายหุ้นไปตอนราคาสี่สิบกว่าบาท ไม่เก็บไว้จนทุกวันนี้...555
นี่แหละครับ...ถึงผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องอุตสาหกรรมการบินอย่างลึกซึ้ง แต่ผมก็มีประสบการณ์มาพอควร กับมีความผูกพันอยู่อย่างยาวนาน ผมจะพยายามวิเคราะห์ถึงปัญหาที่ "การบินไทย" ประสบอยู่ รวมทั้งนำเสนอทางแก้ไขตามที่ศักยภาพของผมจะทำได้นะครับ ถึงจะไม่ถูกต้องครบถ้วนทั้งหมด แต่น่าจะเป็นประโยชน์ได้ตามควร เพราะผมก็ "รักการบินไทยเท่าฟ้า" เหมือนกันครับ...
โปรดติดตาม ตอนที่ 4