ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานว่า ตามที่มีข่าวลือจากสื่อสังคมออนไลน์ว่า การบินไทยอยู่ในสถานะใกล้ล้มละลายนั้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอยืนยันไม่ได้อยู่ในสถานะใกล้ล้มละลาย
บริษัทฯ มีสถานะการเงิน โดยเฉพาะเรื่องหนี้สินลดลง คือ หนี้สินระยะยาวลดลงประมาณ 1,000 ล้านบาท และหนี้สินรวมของบริษัทฯไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 จำนวน 248,264 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2562 จำนวน 245,447 ล้านบาท อีกทั้ง การบินไทยมีทุนจดทะเบียนเพียง 26,989 ล้านบาท น้อยกว่าสายการบินชั้นนำในระดับเดียวกันมาก อาทิ เจแปนแอร์ไลน์ มีทุนจดทะเบียน 52,443 ล้านบาท ออล นิปปอน แอร์เวย์ มีทุนจดทะเบียน 92,187 ล้านบาท และคาเธ่ย์แปซิฟิค มีทุนจดทะเบียน 68,032 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบความสามารถกำลังการผลิตของทุนจดทะเบียนของการบินไทยที่มีน้อยกว่า การบินไทยสามารถผลิตภายใต้สัดส่วนผลผลิต (ASK) ต่อทุน ได้มากกว่าคาเธ่ย์แปซิฟิค 3 เท่า ออล นิปปอน แอร์เวย์ 6 เท่า และเจแปนแอร์ไลน์ 12 เท่า จึงเลี่ยงไม่ได้ที่บริษัทฯ ต้องใช้เครื่องมือ “เงินกู้” ในการขยายงาน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการดำเนินงานของบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำ และบริษัทฯ ขอย้ำว่า ยังไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ เพราะยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสถาบันการเงิน โดยบริษัทฯ มี TRIS Credit Rating = A Stable Outlook จึงมีความสามารถในการชำระหนี้ และ Roll Over ได้ ซึ่งใช้วิธี Roll Over หุ้นกู้และ มีเงินกู้ระยะสั้น ซึ่งเป็นเทคนิคของการบริหารจัดการทางการเงิน
ทั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตปัจจัยภายนอกตลอดครึ่งปีแรกของปี 2562 มีผลกระทบต่อการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทฯ อย่างสูง ทําให้รายได้ลดลงเมื่อเทียบกับเป้าหมาย อาทิ
- ปริมาณการผลิต (ASK) ลดลง 4% รายได้ลดลง 2,592 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความล่าช้าของการซ่อมเครื่องยนต์ของทางผู้ผลิต ทําให้ปริมาณการผลิต และจํานวนเครื่องบินที่ให้บริการลูกค้าลดลง
- อัตราแลกเปลี่ยน (FX) 3.6% รายได้ลดลง 2,333 ล้านบาท
- การปิดน่านฟ้าปากีสถาน กระทบรายได้ 0.2% ทําให้รายได้ลดลง 153 ล้านบาท
- จํานวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง 1.2% รายได้ลดลง 795 ล้านบาท สาเหตุหลักจากเงินบาทแข็ง
นอกจากนี้ เงินบาทแข็งค่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เศรษฐกิจโลกซบเซา ยังส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวและกําลังซื้อของลูกค้าลดลง
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ไม่ได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ที่จัดการไม่ได้ (Un-Management) แต่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้อยู่ในงบประมาณได่ เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าเช่าเครื่องบิน อีกทั้ง ยังมีค่าใช้จ่ายอีกส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายในสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลดีจากเงินบาทแข็ง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลง จึงทําให้ต้นทุนลดลงได้บางส่วน
สําหรับโครงการจัดหาเครื่องบิน 38 ลํา รัฐบาลยังไม่อนุมัติในการจัดหา บริษัทฯ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงิน 156,000 ล้านบาท หากอนุมัติบริษัทฯ ยังต้องวางแผนในการจัดหาก่อน ดังนั้นการจัดหาเงินจะเป็นในส่วนของเงินมัดจำเท่านั้น อีกทั้งการได้มาของเครื่องบินใช้เวลาประมาณ 2 ปี กว่าจะมีการส่งมอบเครื่องบินใหม่ คือ ปี 2563-2565 และบริษัทฯ ขอยืนยันว่า การจัดหาเครื่องบินดังกล่าว มีความจำเป็นในการดำเนินงานทางธุรกิจ โดยไม่ได้มีข้อตกลงไว้ก่อนกับผู้ขายหรือตัวแทนจำหน่ายใดๆ ทั้งสิ้น การดำเนินการจัดหาเน้นหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ทั้งนี้ เงินทุนในการจัดหาเครื่องบินที่ต้องใช้ในภาคหน้าบริษัทฯ จะดูตามความเหมาะสมกับสถานะการเงินของบริษัทฯ ในขณะนั้น หากมีสถานะการเงินที่ไม่ควรซื้ออาจจะใช้วิธีเช่าซื้อ เช่าดำเนินการ ซึ่งเปรียบเสมือนการแบ่งจ่าย ส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาการแบ่งจ่ายประมาณ 12 ปี ดังนั้นการได้มาซึ่งเครื่องบินจึงไม่เป็นภาระต่อสถานะการเงิน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเครื่องบินที่อยู่ในฝูงบิน จํานวน 103 ลํา ณ ปัจจุบัน และถ้าไม่ปลดระวางจะมีความจําเป็นต้องซ่อมใหญ่ ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายการซ่อมบํารุงสูงมาก และไม่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ซือเครื่องบินใหม่
นอกจากนี้ บริษัทฯ ขอชี้แจงเพิ่ม ตามที่มีการกล่าวถึงผลกระทบจากการเปิดน่านฟ้าเสรี บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ไม่ได้ต่อต้านนโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรี หากแต่มีข้อพึงกังวลถึงความเท่าเทียมกันในเรื่องการแข่งขันในประเทศภายใต้ธุรกิจการบิน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่าก่อนหรือหลังนโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรี การบินไทยในฐานะสายการบินแห่งชาติ ไม่เคยได้รับการสงวนสิทธิ์ให้เป็นผู้ผูกขาดการบินหรือเอกสิทธิ์อื่นใด ในขณะที่สายการบินแห่งชาติของหลายๆ ประเทศ ได้รับการดูแลเป็นพิเศษในฐานะสายการบินแห่งชาติของอุตสาหกรรมการบินในประเทศนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการและฝ่ายจัดการได้ร่วมกันบูรณาการกระบวนการทำงาน โดยฝ่ายจัดการอยู่ระหว่างดำเนินการปรับโครงสร้างอย่างเร่งด่วน เพื่อให้บริษัทฯ สามารถที่จะแข่งขันในอุตสาหกรรมได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการปรับกระบวนการ เรื่อง Digital Transformation โดยเฉพาะการปรับปรุง Mobile Application เป็นต้น