แทบไม่เชื่อว่า การประมูลงานระบบการติดตั้งและบำรุงรักษา (Operation and Maintanance : O&M) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) 2 สาย คือ สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) วงเงิน 33,258 ล้านบาท และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) 27,828 ล้านบาท ในรูปแบบ PPP Gross Cost ที่กรมทางหลวง (ทล.) เปิดให้ยื่นซองข้อเสนอไปเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา จะเกิดปรากฎการณ์ฟันราคากันแตกต่างแบบลิบลิ่ว เพื่อให้ได้งานไปดำเนินการกันของกลุ่มผู้รับเหมา 3 กลุ่มยื่นซอง!
โดยโครงการนี้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2562 ได้มีผู้ยื่นข้อเสนอจำนวน 3 ราย ต่อมาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2562 ได้มีมติเห็นชอบให้ผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 รายผ่านเกณฑ์การประเมินข้อเสนอซองที่ 1 (ข้อเสนอด้านคุณสมบัติและเทคนิค) ประกอบด้วย 1. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BEM ยื่นข้อเสนอทั้งสาย M6 และ M81 2. บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนตรัคชั่น จำกัด จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท China Communications Construction Company Ltd. จากจีนยื่นข้อเสนอสำหรับสาย M6 ในนามกลุ่มกิจการร่วมค้า UN-CCCC และยื่นข้อเสนอสำหรับสาย M81 ในนามกลุ่มกิจการร่วมค้า CCCC-UN 3. กิจการร่วมค้า บีจีเอสอาร์ นำโดยบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอทั้งสาย M6 และ M81
ฟันราคากันดุเดือด!
สำหรับปรากฎการณ์ของการฟันราคางานรับเหมา เพื่อให้ได้งานไปดำเนินการครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2562 คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ดำเนินการเปิดซองเอกสารข้อเสนอซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) ของผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 ราย ผลปรากฏว่า สายบางปะอิน – นครราชสีมา ผู้ยื่นข้อเสนอขอรับค่าตอบแทนจากรัฐต่ำสุด คือ กิจการร่วมค้า บีจีเอสอาร์ ยื่นข้อเสนอขอรับค่าตอบแทน 21,329 ล้านบาท รองลงมา คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า CCCC-UN ยื่นข้อเสนอขอรับค่าตอบแทน 26,289 ล้านบาท และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM) ยื่นข้อเสนอขอรับค่าตอบแทน 29,849 ล้านบาท จากราคากลางวงเงิน 33,258 ล้านบาท
ในส่วน สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี ผู้ยื่นข้อเสนอขอรับค่าตอบแทนจากรัฐต่ำสุด คือ กิจการร่วมค้า บีจีเอสอาร์ ยื่นข้อเสนอขอรับค่าตอบแทน 17,809 ล้าน รองลงมาคือ กลุ่มกิจการร่วมค้า UN-CCCC ยื่นข้อเสนอขอรับค่าตอบแทน 23,149 ล้าน และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด ยื่นข้อเสนอขอรับค่าตอบแทน 25,196 ล้านบาท จากราคากลาง 27,828 ล้านบาท
คาดเสนอ ครม. ม.ค.63
โดยขั้นตอนจากนี้คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดความสมบูรณ์ถูกต้องและครบถ้วนของข้อเสนอซองที่ 2 ของทั้ง 3 กลุ่ม โดยข้อเสนอจะต้องมีความเป็นไปได้และเป็นไปตามข้อกำหนด ก่อนที่จะพิจารณาจัดลำดับเพื่อหาผู้ที่ผ่านการประเมินสูงสุด โดยผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอขอรับค่าตอบแทนต่ำที่สุดและตรวจสอบแล้วว่า ข้อเสนอมีความครบถ้วนสมบูรณ์ จะถือว่าเป็น “ผู้ผ่านการประเมินสูงสุด”
ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2562 และต่อจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการพิจารณาข้อเสนอซองที่ 3 ข้อเสนออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการให้บริการและการดำเนินงานของกรมทางหลวง และขั้นตอนการเจรจากับผู้ผ่านการประเมินสูงสุด ก่อนที่จะประเมินให้เป็น “ผู้ชนะการคัดเลือก” และพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนอื่นๆ ของ พ.ร.บ. เอกชนร่วมลงทุนฯ ต่อไป ทล.คาดว่า จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนได้ภายในเดือนมกราคม 2563
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด กล่าวว่า โดยกลุ่มกิจการร่วมค้าบีจีเอสอาร์ ได้ตั้งบริษัทร่วมดำเนินการ ซึ่งบีทีเอสและกัลฟ์ถือหุ้นฝ่ายละ 40% ส่วนซิโน-ไทยฯ และราชกรุ๊ป ฝ่ายละ 10% ซึ่งบีทีเอสยืนยันว่า พร้อมรุกทุกโครงการ เนื่องจากมีหลายเฟสดำเนินการ โดยงานประมูล O&M รายได้จะเข้าในไตรมาสที่ 4 กว่าจะลงนามสัญญาแล้วเสร็จ
มีความเห็นของผู้ที่คลุกคลีในวงการรับเหมารายหนึ่งกล่าวว่า ดูราคาที่เปิดออกมาแล้ว ราคากลาง 3.3 หมื่นล้านบาท แต่ M6 กดราคาสู้กันจนได้ที่ตัวเลขต่ำสุด 2.1 หมื่นล้านบาท (ลดลงจากราคากลาง 1.2 หมื่นล้านบาท) โดยกลุ่มบีจีเอสอาร์ คิดเป็นเกือบ 40% ของราคากลาง ส่วนกลุ่มกิจการร่วมค้า CCCC-UN เสนอราคา 2.6 หมื่นล้านบาทลดลงไปเกือบ 7,000 ล้านบาท โดยจะพบว่า กลุ่ม BEM เสนอราคาแตกต่างกับกลุ่มอื่นๆ อย่างมาก ตรงกันข้ามกับกลุ่มดอนเมืองโทลล์เวย์เกิดถอดใจไปตั้งแต่แรก
หลายฝ่ายยังมองว่า การเสนอราคาให้ต่างจากคู่แข่งจำนวนมากครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่จะได้ชัยชนะงานประมูลขนาดใหญ่ที่เดิมพันด้วยเม็ดเงินก้อนโตระดับหลายหมื่นล้าน
จึงต้องจับตาว่า ท้ายที่สุดแล้วงานนี้จะสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร เพราะราคาสู้กันเต็มที่ระดับหลักหมื่นล้านบาท ราคาที่สู้กันในครั้งนี้ต้อง ”ดีดลูกคิดรางแก้ว” อย่างรายละเอียดรอบคอบไม่ตกหล่น เพื่อทำให้รัดกุมป้องให้เกิดเป็นค่าโง่ตามมาในภายหลังอีก
เนื่องจากมีระยะเวลาการลงทุน 30 ปี แล้วยังกำหนดราคาบริหารจัดการระบบเป็นจำนวนเงินชัดเจน คุณภาพที่ได้จะตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และการแข่งขันในครั้งนี้ จะนำเงินรายได้ไปเข้ากองทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่อไป