กำลังกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม และบรรดา”คอการเมือง”เป็นอย่างมาก.. กรณีปมลดภาษีเงินได้บุคคลฯ 10% ตามนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่แกนนำจัดตั้งรัฐบาล..
งานนี้..แท้งชัวร์เหตุรายได้สรรพากรหายนับแสนล้าน!
ฟันธง! ลดภาษีเงินบุคคลธรรมดา 10% ที่ “ขุนคลัง” เมื่อครั้งเดินสายหาเสียงเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ “แท้งตั้งแต่ยังไม่ทันท้อง” เหตุเพราะ ขืน “ปล่อยผี” ยิ่งถ่างปัญหาเหลื่อมล้ำ แถมทำเป้าจัดเก็บรายได้กรมสรรพากรหล่นวูบ!
“คุณหลอกดาว” วลีจากบทละครน้ำเน่าเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ทว่า..มันยังคงทันสมัยเสมอ เมื่อนำเอามาใช้ในระบบการเมืองแบบไทยๆ ที่ “หาเสียงพูดอย่าง...ทำจริงเป็นอีกอย่าง”
“ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ผมมีเวลาน้อยเกินกว่าจะอธิบายรายละเอียดในการปรับลดอัตราภาษีได้บุคคลธรรมดา ซึ่งการจะปรับลดภาษีหรือไม่ ต้องขึ้นกับการพิจารณาและข้อเสนอของกรมสรรพากรและสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รวมถึงการปรับโครงสร้างภาษีอื่นๆ ทั้งระบบด้วย”
ข้างต้นคือ ประโยคคำพูดจากปากของ ”อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อครั้งเดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กรมสรรพากร เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา
โปรดฟังอีกครั้ง!
การหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 โดยเฉพาะประเด็นการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลง 10% นั้น ทั้งหมดเป็นเพียง “กลอนพาไป” เพราะ “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” ที่วันนี้ สวมหมวกเป็น “ขุนคลัง” จำเป็นจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมสรรพากร และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กลับไปหารือถึงหลักการและเหตุผล
บนความจำเป็นที่ว่า...หากจะต้องทำการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ทั้งระบบนั้น จะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ และห่างปัญหาความเหลื่อมล้ำ “มหาเศรษฐี - ยาจก” มากขึ้นหรือไม่?
ฟังจากมุมนี้ ดูเหมือน “ขุนคลัง-อุตตม” จะอยู่บนหลักการของความเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ที่จำต้องพูดให้น้อยที่สุด หวังผลในประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมากที่สุด
นั่นหมายความว่า...ที่เคยหาเสียงเอาไว้ สุดท้าย...ต้องไปดูที่เหตุผลและความจำเป็น ซึ่งส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จะให้คำตอบได้ดีที่สุด และเป็น ”ประสงค์ พูนธเนศ” ปลัดกระทรวงการคลัง ที่ต้องรับบท “หนังหน้าไฟ” คอยจูนระหว่าง...กรมสรรพากรและสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อให้ทั้ง 2 องค์กรมีมุมมองและความคิดเดียวกัน หรืออย่างน้อยก็ไม่ควรห่างไกลกันจนเกินไปนัก
ยึดโยงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
แต่หากฟังจากที่ “เอกนิติ ทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีสรรพากร ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว วันเดียวกัน ในเวลาต่อมาว่า “รายได้ในส่วนเม็ดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปัจจุบันที่มีราว 4 แสนล้านบาท หรือราว 17% ของการจัดเก็บรายได้ 2 ล้านล้านบาทนั้น ทั้งหมดมาจากผู้เสียภาษีจริงแค่ 3% จากกลุ่มคนที่อยู่ในข่ายจะต้องเสียภาษีเงินบุคคลธรรมดา 10.7 ล้านคน แต่เพราะคนส่วนใหญ่ 97% มีรายได้หลังหักค่าลดหย่อน ต่ำกว่าเกณฑ์ที่จะต้องจ่ายภาษี จึงทำให้รายได้ในส่วนนี้ อยู่ในกลุ่มคน 3% ข้างต้น”
ทั้งนี้ หากนำมาคำนวณเป็นเม็ดเงินแล้ว พบว่า คนในกลุ่ม 3% ซึ่งเป็นระดับ “เศรษฐกิจ – มหาเศรษฐี - อภิมหาเศรษฐี” ควักจ่ายเงินภาษีในรูปของเงินได้บุคคลธรรมดา สูงถึง 72% ของเม็ดเงินรายได้ 4 แสนล้านบาท
นั่นก็หมายความว่า...การหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐ ที่วันนี้...หัวหน้าพรรค ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น อยู่ในข่าย...ไม่ได้พูดความจริงกับ “คนระดับบน” ในสังคมไทย หรือจะเรียกว่า “พูดไม่หมด” ก็คงไม่ผิดอะไร?
ด้วยเหตุผลที่อธิบดีกรมสรรพากร บอกไว้ คือ หากมีการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากันจริงๆ กลายเป็นว่า...รัฐบาล โดยกรมสรรพากร ไปลดรายจ่ายให้กับ “คนรวย” เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีส่วนแบ่งจ่ายเงินภาษีสูงถึง 72% นั่นเอง
ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งนี้...ยังทำให้รายได้ของกรมสรรพากร ซึ่งถือเป็น “กรมภาษีหลัก” ในการหารายได้เข้าประเทศ เพื่อนำมาจัดทำเป็น “งบประมาณรายจ่ายประจำปี” ต้องหดหายลงไป
แม้ว่าปีนี้ (62) กรมสรรพากร จะจัดเก็บรายได้ตามเป้า หรือเกินเป้าที่ 2 ล้านล้านบาทนิดๆ แต่ทว่าในปีหน้า (63) ซึ่งกรมภาษีแห่งนี้ มีภาระจะต้องจัดเก็บรายได้แผ่นดินมากกว่า 2.1 ล้านล้านบาท ต้องบอกว่าเหนื่อยสุดๆ
ลำพังเศรษฐกิจไทย ที่ได้รับผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจโลก และจากปัญหาสงครามการค้า “สหรัฐฯ-จีน” ที่พัฒนากลายเป็น “สงครามการเงิน” ซึ่งรุนแรงมากยิ่งกว่าสงครามเศรษฐกิจ จนเครื่องยนต์กลไกหลักๆ ในการหารายได้ “เงินตราต่างประเทศ” เข้าไทย...ประสบปัญหาอย่างรุนแรง
ตั้งแต่ภาคการส่งออก การลงทุนภาคเอกชน และการบริโภค (ใช้จ่าย) ภายในประเทศ ที่ถดถอยอย่างรุนแรง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มจะดีขึ้นมากบ้าง แต่ก็ยังไม่อยู่ในข่ายจะผลักดันหรือขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของไทย ให้ก้าวย่างไปข้างหน้าได้อย่างที่เคยทำ
แม้วันนี้...สินค้าเกษตรรายได้ตัว โดยเฉพาะข้าวสาร ข้าวเหนียว และอีกหลายชิ้น “ส่อเค้า” ว่า...มีราคาขยับขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและในตลาดโลก แต่ก็ไม่ชัวร์ว่า...ราคาสินค้าเกษตรที่แพงขึ้น จะไหลไปถึงมือเกษตรกรตัวจริงมากน้อยแค่ไหน?
กลัวจะ “หาย” และ “ตกหล่น” ระหว่างทาง...เข้ากระเป๋า “พ่อค้าคนกลาง” ที่...แอบยิ้มมุมปาก ร่วมกับข้าราชการประจำและนักการเมืองไทย..
นั่นจึงเป็นเหตุผล ที่ ”สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี จำต้อง “เดินสาย” เข้านอกออกในกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่าง...กระทรวงการคลัง อุตสาหกรรม พลังงาน คมนาคม มากผิดปกติ
ด้วยหวังจะเป็นการเร่งรัดเบิกจ่าย และผุดแผนลงทุนใหม่ๆ ทั้งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ทั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ และตลอดทั้งปีหน้า (63)
ชนิด...เร่งการลงทุนกันจนหน้าดำคร่ำเครียดนั่นแหละ!
แม้รัฐบาล โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ที่ต่างก็มี “รองนายกรัฐมนตรี” คอยคัดท้ายและถือหางด้วยกัน พยายามจะงัดมาตรการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ไปในคราวเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่า...สังคมยังคาใจ เหตุใดจึงต้อง “ต่างคนต่างทำ” แทนจะบูรณาการไปพร้อมๆ กัน
ไม่ว่าผลของมาตรการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” จากพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ประการใดก็ตาม แต่หากไปถามกรมสรรพากรแล้ว. คำตอบเดียวที่หากต้องตอบ (ถ้าตอบได้) ก็คือ...
ไม่มั่นใจว่า...ปีหน้าจะจัดเก็บรายได้ได้ตรงตามเป้าที่วางไว้หรือไม่? และนั่น...จึงนำสู่ประเด็นที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” จำต้องตราไว้ในความทรงจำที่ว่า...
การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นที่ พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ “หัวหน้าพรรค” คนปัจจุบัน ที่ชื่อ ”อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น เคยหาเสียงเอาไว้เมื่อ 6-7 เดือนก่อนนั้น ที่สุดแล้ว! คงจะกลายเป็น “หมัน” เพราะจะปล่อยให้สิ่งนี้...เกิดขึ้นจริงไม่ได้
การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% ไม่เพียงทำให้รายได้แผ่นดินหดหายไปกว่า 1 ใน 3 ของรายได้จริงเกือบ 4 แสนล้านบาทเท่านั้น หากยังทำให้แนวนโยบายในการจะลดปัญหาช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ระหว่าง “คนจน-คนรวย” ยิ่งห่างมากขึ้นไปอีก
ฟันธง! “คุณหลอกดาว” และการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% จะไม่เกิดขึ้นจริง! อย่างน้อยก็ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้านี้!
โดย กากบาทดำ