
บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ วีจีไอ (VGI) ผู้นำการตลาด Offline-to-Online (“O2O”) โซลูชั่นส์ ผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568/69 มีรายได้รวม 1,115 ล้านบาท ลดลง 7.4% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากรายได้ธุรกิจสื่อโฆษณา และธุรกิจการจัดจำหน่ายปรับตัวลดลง ในขณะที่ธุรกิจบริการด้านดิจิทัลเติบโตสวนทาง ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 35.9% เพิ่มขึ้นจาก 33.9% ในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 45 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.0% โดยยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสด และสินทรัพย์ทางการเงินระยะสั้นกว่า 2 หมื่นล้านบาท และไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย
โดยไตรมาสนี้ วีจีไอเดินหน้าขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) โดยลงนามสัญญาให้ Plan B บริหารงานขาย และทำการตลาดสื่อโฆษณาของกลุ่ม VGI และในเดือนกรกฎาคมได้เพิ่มทุนใน Plan B จำนวน 1,000 ล้านบาท ส่งผลให้มีการถือหุ้นเพิ่มเป็น 23.3% พร้อมแต่งตั้งผู้แทนของบริษัทฯ เข้าเป็นกรรมการ และปรับสถานะการลงทุนใน Plan B เป็นบริษัทร่วม นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ยังได้มีการอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานรอบปีบัญชี 2567/68 โดยจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.013 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 21 สิงหาคม 2568

ธุรกิจสื่อโฆษณา มีรายได้ 454 ล้านบาท ลดลง 17.0% จากปีก่อน โดยสื่อในระบบขนส่งมวลชนมีรายได้ 403 ล้านบาท ลดลง 20.1% ขณะที่สื่อในอาคารและอื่น ๆ มีรายได้ 52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3% โดยมีอัตราการใช้สื่อโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น 45.2% จาก 42.4% ในปีที่แล้ว พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้ทำการเปิดตัวสื่อโฆษณาใหม่ “Platform Shelter” ซึ่งเป็นสื่อที่ผสมผสานระหว่าง station balustrade (สื่อที่ติดตั้งบริเวณระเบียงสถานี) และบริเวณหลังคาสถานีเข้าด้วยกัน และจอ LED เพื่อดึงดูดผู้โดยสารกำลังซื้อสูง โดยติดตั้งใน 4 สถานีหลัก ได้แก่ สถานีอโศก พร้อมพงษ์ ศาลาแดง และช่องนนทรี ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล มีรายได้ 403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% จากปีก่อนหน้า โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการเติบโตของ Rabbit Cash, Rabbit Care และ Rabbit Card โดย Rabbit Card ได้นำเสนอฟีเจอร์ “Rabbit Wallet” เพื่อรองรับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในเดือนตุลาคม 2568 ขณะที่ ธุรกิจการจัดจำหน่าย มีรายได้ 258 ล้านบาท ลดลง 10.5% จากปีก่อนหน้า โดยรายได้ของ Fanslink ลดลง เนื่องจากการเน้นสินค้ามาร์จิ้นสูงในแบรนด์ Pando และ EZHome และได้รับแรงหนุนบางส่วน จากการขยายสาขา Turtle เป็น 28 สาขา
ทิศทางปี 2568/69 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 6,000–6,500 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจสื่อโฆษณา 40% ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล 35% และธุรกิจการจัดจำหน่าย 25% พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์โฆษณาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวร่วมกับ Plan B ต่อยอดโอกาสจากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มปริมาณผู้โดยสารทั้งระบบ 30–40% และส่งผลเชิงบวกต่อการมองเห็นสื่อโฆษณา รวมถึงการใช้บริการร้านค้าในเครือ โดยยังคงมุ่งเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน และขยายธุรกิจทั้งในรูปแบบเดิม และธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในอนาคต ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงสร้างความภาคภูมิใจในด้านความยั่งยืน โดยได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลกในหมวดอุตสาหกรรมสื่อ ภาพยนตร์ และความบันเทิง จาก S&P Global ใน The Sustainability Yearbook 2025 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน พร้อมกันนี้ หุ้นของบริษัทฯ ถูกรับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนี SET100 (ช่วงเดือนมกราคม–มีนาคม 2568) และ SET50 (ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นมา)