
ผู้นำระดับภูมิภาคด้านเศรษฐกิจและภาคธุรกิจชั้นนำของไทย ระบุ 4 เทรนด์ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงโลกาภิวัฒน์ การให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของโลก กำลังมีอิทธิพลพลิกโฉมเศรษฐกิจโลก จากงานสัมมนา Future Forum 2025: - Great Transformation ที่จัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจประเทศไทย (TMA) โดยมีนักวิชาการและภาคธุรกิจเข้าร่วมสัมมนากว่า 250 คน ต่างระบุตรงกันว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับการท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
มร.เฮง สวี เกียต (Mr. Heng Swee Keat) อดีตรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ และประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของสิงคโปร์ (National Research Foundation, Singapore) ให้ความเห็นบนเวทีสัมมนาในหัวข้อ “Economic Transformation for Peoples, For Planet” ว่า “กว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกเผชิญกับวิกฤตที่สำคัญ 2 วิกฤต คือ วิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตจากโรคระบาด วิกฤตแรกมีสองครั้งใหญ่คือ วิกฤตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียช่วงปี 2540 และวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 ส่วนวิกฤตจากโรคระบาดคือ จากการแพร่ระบาดของโรคระบาดอย่าง โคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (Covid-19) การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั้งสองรอบส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก แต่ก็ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกให้สามารถเติบโตได้ทั้งเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจอาเซียน 5 ประเทศคือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แต่เป็นการเติบโตที่ชะลอตัวลงหลังปี 2551 ในขณะที่วิกฤตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องของเทคโนโลยี ภูมิทัศน์ของโลกเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

โลกในปัจจุบันเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Major Trend ใน 4D คือ…
1. De-Globalization หรือการเปลี่ยนแปลงโลกาภิวัตน์จากเศรษฐกิจเสรี ไปสู่การกีดกันและการผูกขาดมากขึ้น
2. Decarbonization การที่โลกให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดภาวะโลกร้อน
3. Digitalization การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนทุกคน และ
4. Demographics Challenges การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของโลก ซึ่งทั้ง 4 ปัจจัยมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลก”
มร.เฮง สวี เกียต กล่าวและเพิ่มเติมว่า “สิงคโปร์ นำทั้ง 4 เทรนด์มาใช้ในการวางกลยุทธ์บริหารประเทศ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยคำนึงถึงเรื่องการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยี การให้ความสำคัญกับเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะการทำข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ (Free Trade Area) ซึ่งปัจจุบันสิงคโปร์มีข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศทั้งในระดับประเทศ และระดับกลุ่มประเทศถึง 28 ฉบับ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างมีหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในทุกภาคอุตสาหกรรมรวมไปถึงการพัฒนาบุคลากร
การขับเคลื่อนประเทศและเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน ประเทศต้องขับเคลื่อนโดยการพัฒนาศักยภาพของประชากรในประเทศ เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โครงสร้างเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไป โครงสร้างการทำงานก็เปลี่ยนไป เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทโดยเฉพาะเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การที่จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่กำลังเกิดขึ้น โดยการที่ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนได้ สิ่งสำคัญคือ การต้องพัฒนาศักยภาพในการทำงานของประชากรในประเทศให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปได้ เพราะ AI จะเป็นขุมพลังสำหรับการพัฒนาในทุกภาคส่วนของประเทศ รวมไปถึงต้องไม่หยุดที่จะวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ภาคเอกชนต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด ปรับกลยุทธในการทำธุรกิจ และ รู้จักที่จะใช้เทคโนโลยี รวมทั้งการออกแบบกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงเปิดกว้างในการร่วมมือกับธุรกิจทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการเติบโตได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน” มร. เฮง สวี เกียต กล่าว
ทุน-คน-เทคโนโลยี 3 ปัจจัยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
ขณะที่ ศาสตราจารย์อาร์ทูโร บริส (Prof. Arturo Bris) ผู้อำนวยการ IMD World Competitiveness Center กล่าวในช่วงการสัมมนา “The New Transformation Model” ว่า “กรอบแนวคิดดั้งเดิมของความสามารถในการแข่งขันคือ การมีประสิทธิภาพในการทำงาน ความร่วมมือระหว่างกัน และการเพิ่มผลผลิต แต่ปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปตามกลไกทางเศรษฐกิจ การเมือง ที่เปลี่ยนแปลงไป คือความสามารถในการแข่งขันในปัจจุบันไม่ได้ถูกวัดแค่เรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน การเพิ่มผลผลิต และความร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนเท่านั้น แต่จะถูกวัดด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่มีประสิทธิภาพในระดับโลก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และนโยบายในการบริหารจัดการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แต่ละประเทศประสบความสำเร็จได้ ต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลักคือ ทุน (Capital) ความสามารถของบุคลากรที่มีคุณภาพ (Talent) และ เทคโนโลยี (Technology) ประเทศที่ประสบความสำเร็จคือประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของเทคโนโลยี อนาคตในการพัฒนา สิ่งที่สำคัญในอนาคตคือ ทุน บุคลากร และ เทคโนโลยี
กรอบในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในโลกในปัจจุบันและอนาคต จะวัดกันที่ 3 ประเด็น คือ ประเด็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชากรของประเทศ ต้องเป็นประชากรที่มีความพร้อมสำหรับอนาคต เข้าใจเทคโนโลยี มีความคล่องตัวในการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์และมีความรู้ด้านการเงิน ประเด็นถัดมาในภาคของธุรกิจ ต้องเป็นองค์กรที่มีกระบวนการทำงานที่พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เปิดรับโอกาสในการเติบโตและพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมทั้งภายในและภายนอกองค์กร และประเด็นในส่วนของภาครัฐ ต้องเป็นรัฐที่มีความพร้อมที่จะรองรับอนาคตของการเข้ามาลงทุนจากภาคเอกชน มีความพร้อมในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่งคั่ง และมีฐานะการคลังที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น” ศาสตราจารย์บริส กล่าวสรุป
ภาคเอกชนไทย เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวถึงโมเดลของการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจการเงินว่า “ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทุน และ เทคโนโลยี คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจการเงิน ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนสำคัญที่ทำให้ภาคการเงินเชื่อมโยงกับภาคการเงินของไทยกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในระดับโลก

ที่ผ่านมาเราพัฒนาธุรกิจของเราโดยให้ความสำคัญกับภายในประเทศและการขยายการลงทุนโดยตรงไปในภูมิภาคอาเซียน และให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจโดยให้ความสำคัญเรื่องของความยั่งยืน ตามมาตรฐานของ ESG (สิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล) ธนาคารให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนองค์กร โดยการพัฒนาเทคโนโลยี และการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร และความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้กับลูกค้า
เทคโนโลยีทำให้เราสามารถที่จะเชื่อมต่อการทำงานและการให้บริการในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และสร้างโอกาสทางธุรกิจได้จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้ง 3 ปัจจัยที่สำคัญอย่าง ทุน การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และเทคโนโลยี เป็นปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างองค์กรที่ยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น” นายชาติศิริ กล่าว
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงและท้าทาย ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธุรกิจต้องเผชิญกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ความล่าช้าในการขนส่งสินค้า การบริโภคที่ลดลง ปัจจุบันบริษัทเผชิญกับกำแพงภาษีของสหรัฐ ตั้งแต่ปี 2566 บริษัทเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจในทุกๆ ด้าน รวมทั้งได้มีการทบทวนโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน และผันผวนของเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมไปถึงการเข้ามาของเทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI

สิ่งที่เราเรียนรู้และต้องเปลี่ยนแปลงธุรกิจตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ เราต้องทำให้องค์กรของเรามีกระบวนการทำงานที่เรียบง่ายและทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก เพราะเรามีธุรกิจอยู่ทั่วโลก รวมไปถึงการปรับปรุงแพลตฟอร์มในการทำงาน สร้างขีดความสามารถเพื่อรองรับกับการทำงานในอนาคต การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมไปถึงการทำธุรกิจในกรอบของ ESG
การที่สหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเป็น 36% ในครั้งแรก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเราก็คงต้องออกไปจากอุตสาหกรรม พอปรับลดลงมาเหลือ 19% เท่ากันหมดในอาเซียน เราก็คิดว่าเราสามารถแข่งขันได้ โดยที่เราต้องมีความชัดเจนในการดำเนินกลยุทธ์ธุรกิจ ชัดเจนในเรื่องของแผน รวมทั้งการสื่อสารที่ต้องชัดเจนไปยังทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ต้องบอกว่า 2 ปีมานี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และ เราต้องปรับตัว ซึ่งเป็นความท้าทาย”
ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวสนับสนุนเพิ่มเติมว่า “บริษัทใช้งบประมาณ 20-25% ของรายได้ต่อปี ในการลงทุนด้านงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพราะเราเห็นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรม บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาและลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของทุกภาคอุตสาหกรรมทั้งภาคการเงิน ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการด้านสุขภาพ เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ทำให้หัวเว่ย ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่มลูกค้าของเรา
ปัจจุบันเทคโนโลยี ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของผู้คนนอกเหนือจากการใช้ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ทุกคนพูดถึง AI พูดถึง เทคโนโลยี ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงภาคการผลิต ภาคการบริโภค ทำให้ หัวเว่ย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาภาคธุรกิจ”