การปลดลูกจ้างทดลองงานและลูกจ้างรายวันเพื่อลดค่าใช้จ่าย ของบริษัทเอเพ็กซ์ เซอร์วิส (ไทยแลนด์) 140 อัตรา ที่บริษัทอ้างว่าไม่ผ่านการทดลองงานในการผลิต..
ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่หายไปกับสายลมหรือตามหน้าสื่อที่ยังให้น้ำหนักกับการเสียชีวิต ของ ลาลาเบล พริตตี้สาว ที่สื่อไม่ได้เสนอแง่มุมด้านสังคม นอกเหนือไปจากการตาย นาฬิกาบอกเวลาการตาย ถูกข่มขืนก่อนหน้าหรือเปล่าหรืออาชีพของพริตตี้
แน่นอน การเสียชีวิตของลัลลาเบล ทำให้มองเห็นอีกมุมของปากกัดตีนถีบในปัจจุบัน ที่อยู่ในสังคมฟุ้งเฟ้อ หาเงินแบบง่ายๆ และไม่ได้รับการแก้ไขให้ตรงจุดจากรัฐบาลชุดไหนๆ ก็ตาม
แต่การปลดลูกจ้างจำนวน 140 คน เป็นเรื่องรากลึกชอนไชสังคม มากกว่าคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานฯ ที่สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางช่วยเหลือ ว่าได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ พร้อมกับจัดหาอาชีพ หรือฝึกอบรมให้เพิ่มเติม
เพราะไม่ว่าจะฝึกอบรมหรือจัดหาอาชีพ แต่หากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาเรื่องของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนได้ ต่อให้ฝึกอาชีพไปแค่ไหน ก็ไม่มีทางจะได้งาน
เพราะผู้ประกอบการไม่ผลิตสินค้า ถ้ารู้ว่าขายไม่ออก สินค้าที่ยังมีอยู่ล้นสต็อก ฯลฯ อันนี้ต่างหากที่รัฐบาลจะต้องวางแนวทางให้ชัดเจน ประเทศจะไปทางไหน
ปลดคนงาน 140 คน และในวันข้างหน้าจะปลดเพิ่มอีกไม่รู้เท่าไหร่?
พิษพวงจากสงครามทางการค้า จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เห็นยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของรัฐบาลในการแก้ปัญหา..
จำนวนบัณฑิตจบใหม่ที่จะต้องเพิ่มขึ้นอีกปีละไม่ต่ำกว่า 50,000 คน ก็จะถาโถมเข้ามาในสังคมอีก ยังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นจากกระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงอุดมศึกษาฯ
เกือบสองเดือนแล้วที่รัฐบาลเป๋ไปเป๋มา มัวแต่จะไปทำอะไรที่ไม่เข้าท่า อีอีซี ที่เคยคุยฟุ้งว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยไปข้างหน้า จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เห็นมีเอกชนต่างชาติ เข้ามาลงทุนเป็นตัวเป็นตน มีแต่นายทุนที่กว้านซื้อที่
ยังไม่รวมการใช้จ่ายแบบ ”สาดกระสุน” โครงการชิมช้อปใช้ ที่เอาเงินภาษีของประชาชนไปแจกแบบให้ฟรี โดยยังไม่เห็นว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร
อยู่เพียงแค่สองเดือน ก็เหมือนอยู่กันมาสิบปี ช่วงนี้หมดยุค ฮันนีมูน กันแล้ว
ช่วยทำอะไรให้ดูมีกึ๋นหน่อยได้มั้ย ก่อนที่ประชาชนจะอดตาย!
โดย..คนข้างนอก