น่าเห็นใจ “ทีมเศรษฐกิจ” ของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และคณะฯ ที่สู้อุตส่าห์ “ลงทุน-ลงแรง” มาตลอดตั้งแต่ช่วงปลาย “รัฐบาลประยุทธ์ 1” ต่อเนื่องถึง “รัฐบาลประยุทธ์ 2” ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งตัวนายสมคิดเอง รวมถึงบรรดารัฐมนตรีในสังกัด ไม่ว่าจะเป็น...นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน แม้กระทั่ง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ที่แม้จะอยู่ร่วมพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็อยู่คนละซีกการเมือง กระนั้น รัฐมนตรีเศรษฐกิจในชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ต่างก็สู้เดินสายไปเยี่ยมเยียน, ตรวจงาน และสั่งการ ไปยังฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำกระทรวงและหน่วยงานในกำกับดูแล
รวมถึงเดินสายตามเวทีต่างๆ ทั้งที่เครือข่ายรัฐบาลจัดขึ้นเอง และที่สื่อมวลชนค่ายต่างๆ จัดกันมา
ทว่า ภายใช้ชื่อ...นโยบาย / โครงการ / มาตรการ ที่มีคำว่า “ประชารัฐ” ต่อท้ายนั้น หากได้รับการตอบสนองจาก...รัฐมนตรีเศรษฐกิจ ในสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย ก็ตาม
ลึกๆ ในใจของคนจากฟาก “กลุ่มสามมิตร” ที่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเศรษฐกิจในรัฐบาลชุดนี้ อย่าง...นายสุริยะนั้น ก็ใช่ว่าอยากจะทำงานเชิงนโยบายฯ ภายใต้ชื่อ “ประชารัฐ” สักเท่าใด
เหตุผลเพราะ...ไม่แน่ว่า อนาคตข้างหน้า “กลุ่มสามิตร” ยังจะเดินไปด้วยกันได้ดีกับพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การ “คัดท้าย” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ที่พ่วงเก้าอี้เป็น...ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชารัฐอีกตำแหน่ง หรือไม่? อย่างไร?
นั่นแค่...เฉพาะภายใน “ทีมเศรษฐกิจ” ของคนร่วมพรรคฯ และพรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังทำตัวประหนึ่งเป็น “ปลาคนละน้ำ” ฉะนั้น จึงอย่าได้คาดหวังจะเห็นความเป็น “น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” เพื่อขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวมของ “รัฐบาลประยุทธ์ 2”
ภาพต่างคนต่างทำ...ของรัฐมนตรีต่างกระทรวง และต่างพรรคฯ จึงปรากฏให้เห็นดังเช่นที่เป็นอยู่
หนักกว่านั้น...คือ ภาพในซีกการเมือง ที่ดูเหมือน ส.ส.ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ จะเดินคนละแนวกับ “ทีมเศรษฐกิจ” จากพรรคเดียวกัน
ไม่ว่าจะมองมุมไหน? กับท่าทีที่สะท้อนภารกิจด้านการเมือง ผ่าน ส.ส. “ตัวเอ้” ทั้งหญิงและชาย ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะในหรือนอกสภาฯ ให้รู้สึกหนักใจแทน นายสมคิด และ “ทีมเศรษฐกิจ” ของพรรคพลังประชารัฐ อย่างยิ่ง
ฝ่ายหนึ่ง...เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจ ด้วยหวังจะฉุดรั้งภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ตกอยู่ในอาการ “หัวปัก” อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็ลดผลกระทบจากภาวะดังกล่าวให้เหลือน้อยที่สุด
คนไทยจึงได้เห็นชุดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายแง่มุม และที่กำลังอยู่ในความสนใจของคนไทยมากที่สุดคงไม่พ้น...มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ที่ทำท่าว่าจะมี “เฟส 2” ตามมาในเร็วๆ นี้
และนั่นยังไม่นับรวมมาตรการและโครงการอื่นๆ ที่ “ทีมเศรษฐกิจ” ชุดของนายสมคิด คาดหวังจะงัดออกมาผลักดัน ขับเคลื่อน และกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ
โฟกัสไปยังวลีเด็ด “ประชารัฐสร้างไทย...สร้างเศรษฐกิจฐานราก” อะไรทำนองนี้
ไม่ว่าชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทยอยผลักดันออกมานั้น จะสัมฤทธิ์ผลอย่างที่คาดหวังกันหรือไม่? ก็ตามที แต่ที่แน่ๆ ถูก “ฉุดรั้ง” จากเกมการเมืองที่หลุดมาจากฝั่งการเมืองแทบทั้งสิ้น
จะมีนักลงทุน-นักธุรกิจ ทั้งยักษ์ใหญ่ในประเทศ หรือทุนข้ามชาติหน้าไหนจะกล้ามาลงทุน หรือคิดจะขยายการลงทุนในประเทศที่การเมืองเต็มไปด้วยปัจจัยความเสี่ยงสารพัด
แล้วยิ่งคำพูด “ไฮบริดจ์ วอร์” จากปากของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พ่วงอีกตำแหน่งในทางการเมือง คือการเป็น “สมาชิกวุฒิสภา” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยแล้ว
ภาพความขัดแย้งในทางการเมืองที่จะมีตามมาในอนาคตอันใกล้...ยิ่งเริ่มเห็นเด่นชัด!
และกับคำพูดบางช่วงบางตอนของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ฟังเผินๆ เหมือนจะปราบ “บิ๊กแดง” และกองทัพฯ แต่ทว่า...วลีที่ย้ำเชิงพาดพิงถึง “คนรุ่นใหม่” ทำนอง...ให้ร้ายด่าทอประเทศตัวเอง นั้น
ยิ่งตอกย้ำความแตกแยกระหว่างคนต่างรุ่น และดูเหมือนจะผลักให้คนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ ไปยืนเคียงข้างฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
ถึงตรงนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ขอฟันธง! “ทีมเศรษฐกิจ” ภายใต้การนำของ นายสมคิดและคณะฯ คงยากจะเข็ญครกขึ้นภูเขา...ผลักดันและขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทย ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่คาดหวังเอาไว้...
ไหนจะเพราะปัญหา...ต่างคนต่างทำของ “ทีมเศรษฐกิจ” จากคนร่วมพรรคฯ และพรรคร่วมรัฐบาล
ไหนจะปัญหา...คนในซีกการเมือง ที่เล่นเกมการเมือง แบบ “ได้-เสีย” ชนิดไม่สนใจว่า...อนาคตบ้านเมือง และอนาคตเศรษฐกิจ (ความเชื่อมั่น) ของชาติ จะได้รับผลกระทบจากการเมืองอย่างไรบ้าง?
แล้วยังจะมีปัญหา “ข้าราชการ” ทั้งที่ประจำในกองทัพ และประจำในทำเนียบรัฐบาล มาช่วยจุดและกระพือเชื้อไฟแห่งความบาดหมางให้ลุกโชนและรุนแรงยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ การเมืองเรื่องพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 มูลค่า 3.2 ล้านล้านบาท (ขาดดุล 4.36 แสนล้านบาท) โดยจะเริ่ม “คิ๊กออฟ” ในวันที่ 17 ตุลาคม 62 ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือว่า “ตกค้าง” มายาวนาน 4-5 เดือน
เป็นอะไรที่...รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ จำเป็นต้อง “โอนเอนตามแรงขู่” ของพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้านอิสระ รวมถึง “งูเห่า” ในฝั่ง 7 พรรคฝ่ายค้านที่อาจจะทิ้งอนาคตในทางการเมือง แลกกับอะไรบางอย่างที่พวกเขาคิดว่ามัน...คุ้มค่า สุดๆ
ต่อรอง...ให้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ผ่านความเห็นชอบจนได้
แม้ว่า... “รัฐบาลประยุทธ์ 2” จะผ่านเกมอภิปรายงบประมาณฯไปได้ แต่รอยร้าวจากการ “ต่อรอง” รอบนี้...คงยากจะทำให้พรรคร่วมรัฐบาล หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ แน่นอนว่า...สิ่งนี้ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงถึง “ทีมเศรษฐกิจ” ที่ทุกวันนี้...ก็ต่างคนต่างทำ กันอยู่แล้ว
ฉะนั้น โอกาสความสำเร็จในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจขอบประเทศในยุค “รัฐบาลประยุทธ์ 2/1” นั้น ดูท่าแล้ว...คงไกลจากความเป็นจริง
จึงไม่แปลกใจ...หากนโยบาย / โครงการ / มาตรการใดๆ ที่พรั่งพรูออกมา ทั้งช่วงก่อนหน้า และขณะนี้ รวมถึงหลังจากนี้ไป...จะกลายเป็นขบวนการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”!
โดย..กากบาทดำ