อ่านวิบทเคราะห์ทางเศรษฐกิจของ อีไอซี หรือ economic intelligence center ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ประเมินเศรษฐกิจปีหน้า น่าจะเติบโตที่ 2.8 % ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวต่อเนื่องและภาระหนี้ครัวเรือนที่จะกดดันกำลังซื้อในประเทศ
ความเสี่ยงจากผลกระทบของสงครามการค้าที่ยืดเยื้อและความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง
อีไอซี ประเมินว่า “การฟื้นตัวของการส่งออกไทยในปีหน้าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ หรืออยู่ที่ 0.2% ในปีหน้า”
ในส่วนของภาคอุปสงค์ในประเทศ อีไอซีคาดการณ์การลงทุนภาคเอกชนมีแนวดน้มขยายตัวชะลอลงจากปีนี้เล็กน้อย ตามอุปสงค์ของการส่งออกที่ยังฟื้นตัวได้ไม่ชัดเจน ประกอบกับการก่อสร้างภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV
นอกจากนี้การบริการภาคเอกชนมีทิศทางชะลอลงเช่นกันจากหลายปัจจัยกดดัน ได้แก่ ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ
รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจะมีบทบาทมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
อ่านไปหดหู่ใจไปพร้อมๆ กัน เพราะปัจจัยที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจประเทศไทยนั้น นอกจากจะเกิดจากเหตุปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
นั่นก็คือ..”ความบ้า ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่พยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศด้วยการกดดันทุกประเทศและโลก ด้วยมาตรการตอบโต้ทางการค้าที่เอาเป็นเอาตายแบบนายทุนที่รุกไล่ เพื่อจะเอาให้ได้ โดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตาย”
ท้ายที่สุด สหรัฐอเมริกาก็จะตายเสียเอง เพราะค่าเงินของสหรัฐฯ ขณะนี้แทบไม่มีใครเชื่อถือแล้ว ดอกเบี้ยก็พยายามจะกดให้ลงจนติดลบ หนำซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ว่า ควรจะต้องให้ติดลบเหมือนดอกเบี้ยในยุโรปและญี่ปุ่น
ก็ไม่รู้เอาเหตุผลอะไรมาอ้างอิงแนวคิด แบบบ้า ๆ เหล่านี้
หันมาดูเศรษฐกิจในประเทศ มือดีทางเศรษฐกิจ อย่าง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ถึงกับเล่นอะไรไม่ออก! นอกจากพยายามปั๊มเงินเข้าระบบด้วยมาตรการ ชิม ช้อป ใช้ เฟส 1 เฟส 2 แล้วน่าจะมีอย่างอื่นตามมาอีกเรื่อย ๆ เป็นเพราะเข็นอะไรไม่ขึ้น
การลงทุนใน “อีอีซี” ที่หวังเชิดหน้าชูตา ล่าสุดไปจีน เพื่อขอให้นักลงทุนจากจีนมาลงทุนในอีอีซี ก็รู้อยู่แล้วว่า “การลงทุนของจีน ต้องเป็นการร่วมลงทุนของรัฐวิสาหกิจของจีนเท่านั้น เอกชนจีนแทบจะออกไปลงทุนเดี่ยว ๆ ตามลำพังไม่ได้อยู่แล้วตามข้อจำกัดของรัฐบาลจีน”
ยกเว้น บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง ”อาลีบาบา หรือหัวเหว่ย” ที่ฉุดไม่อยู่ แต่ก็ต้องได้ไฟเขียวจากรัฐบาลเช่นกัน
อีอีซี ที่เชื่อว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุน สุดท้ายแล้ว “ท่าจะเหลว” ไม่มีใครมา เอกชนที่เคยกว้านซื้อที่ดิน เพื่อขายต่อ “แห้ว” กันไปตามระเบียบ ไม่เชื่อไปถามนายทุนใหญ่ ๆ ของไทย ที่ขายสินค้าการเกษตร หรือพัฒนานิคมกันดู หงายหลังกันมาเป็นแถบ ๆ แบกต้นทุนกันไป แต่ก็ดักทางเรื่องราคาที่ดินพุ่ง ถ้าขายได้ ถือว่ารวยต่อยอดกันเลยทีเดียว
มาตรการลงทุน ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ก่อสร้างรถไฟฟ้ากี่สาย ก็ต้องไปตามกำหนดเวลา ยังไม่เห็นรัฐบาลมีแนวทางการลงทุนใหญ่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจกันเลย
นอกจากให้ ”อุตตม เสาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อัดเม็ดเงินภาษีของประชาชนเข้าไปในระบบ จะแจกกันตรง ๆ ก็ขายขี้หน้า “ชิม ช้อป ใช้” ก็ไม่ได้ฉุดให้เศรษฐกิจฐานรากมีเงินหมุนเท่าไหร่ มีแต่กระแสตาดำแพนด้า ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะต้องโหลดแอพพลิเคชั่น เรียกว่า “เสียงด่า” มากกว่า ”เสียงสรรเสริญ”
เรียกว่า ทำอะไรก็ไม่เข้าตา
ขณะที่ด้านเก็บภาษี เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี จะเอาเงินที่ไหนมาเสียภาษี งวดนี้กระเป๋าซ้ายเงินก็ไม่เข้า กระเป๋าขวาก็ต้องจ่ายออกไป
ถ้าทำอะไรไม่เข้าตา ผลงานไม่มี ปรับ ครม.เปลี่ยนคนใหม่ๆ มาดีมั้ย เพราะตอบแทนบุญคุณคนที่พยายามลากเข้ามาเป็นรัฐบาลได้กันพอใจแล้ว หรือว่ายังได้กันไม่ครบซะที!
โดย..คนข้างนอก