บางกอก โพสต์ เตรียมขายอาคาร สนง.-ศูนย์การพิมพ์ รวมมูลค่าราว 1.60-1.68 พันล้านบาท พร้อมเช่ากลับพื้นที่อาคารบางส่วนเพื่อทำธุรกิจเดิม
ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานว่า นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2562 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ขายสินทรัพย์ของอาคารสำนักงาน (คลองเตย) มูลค่ารวม 1,175.0 ล้านบาท ประกอบด้วย ที่ดินพร้อมอาคาร สำนักงาน และศูนย์การพิมพ์และจัดจำหน่าย (บางนา) มูลค่ารวม 424.3-509.5 ล้านบาท ประกอบด้วย ที่ดินพร้อมอาคารสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรอุปกรณ์
บริษัทอาจเสนอขายสินทรัพย์แต่ละรายการให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปที่ไม่เกี่ยวโยงกัน และ/หรือ ผู้ลงทุนที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองและผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับ อย่างไรก็ตาม ศูนย์การพิมพ์และจัดจำหน่าย (บางนา) มีภาระติดจำนองกับสถาบันการเงิน
และมีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าทำรายการการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน (คลองเตย) ด้วยอัตราค่าเช่าและค่าบริการที่เหมาะสม แต่พื้นที่ใช้สอยรวม เท่ากับ 35,483 ตารางเมตร ประกอบด้วย พื้นที่อาคารสำนักงาน 9,000 ตารางเมตร อาคารบริการ 3,075 ตารางเมตร อาคารสำนักพิมพ์ 11,696 ตารางเมตร และอาคารจอดรถ 11,712 ตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ใช้สอยรวมเกินความต้องการของบริษัท คณะกรรมการบริษัทจึงให้ปรับลดเหลือพื้นที่ใช้สอยเท่าที่จำเป็น โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาปริมาณพื้นที่ที่จะเช่ากลับไม่เกิน 50% ของพื้นที่รวม และจะจ่ายค่าเช่าไม่เกินการคำนวณตามอัตราค่าเช่าและค่าบริการที่เหมาะสมซึ่งอยู่ระหว่าง 350-400 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
บริษัทจะเสนอมติดังกล่าวเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2563 ในวันที่ 25 ก.พ.63 โดยคาดว่าจะสามารถทำรายการจำหน่ายสินทรัพย์รายการใดรายการหนึ่ง หรือหลายรายการภายในกำหนดระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นมากเสมือนเป็น Cash Company แต่เงินดังกล่าวจะนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้สินเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจต่อไป
ทั้งนี้บางกอก โพสต์ ระบุว่า สาเหตุที่ต้องขายสินทรัพย์ทั้ง 2 รายการ เนื่องจากบริษัทประสบภาวะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานติดต่อกันหลายปี สาเหตุมาจากพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไปจากสื่อสิ่งพิมพ์ไปยังสื่อออนไลน์ รวมถึงการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งส่งผลให้งบโฆษณาสื่อสิ่งพิมพ์ลดลง โดยบริษัทได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
ภายหลังจากการจำหน่ายสินทรัพย์แล้ว บริษัทจะยังคงประกอบธุรกิจปกติเช่นเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะหรือนโยบายการประกอบธุรกิจอย่างมีสาระสำคัญ บริษัทจะดำเนินการตามกลยุทธ์และนโยบายที่กำหนด โดยควบคุมต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต่อการดำเนินงาน ควบคู่กับการพัฒนาช่องทางดิจิทัลและสื่อออนไลน์ สร้างรายได้จากแบรนด์ และมุ่งเน้นลูกค้าให้มากขึ้น
และในระหว่างการดำเนินการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ บริษัทยังมีความจำเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นจำนวนเงินสูงสุดไม่เกิน 200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.25% ต่อปี