การบริหารนโยบายเศรษฐกิจ...จำเป็นต้องได้รับความเชื่อมั่น ทั้งจากคนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ แต่ดูเหมือนประเด็นที่ “ซีกการเมือง” ของพรรคพลังประชารัฐ แสดงออกมาในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 กระทั่ง ได้เป็นแกนหลักของ “รัฐบาลประยุทธ์ 2” ณ ขณะนี้.. ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสักเท่าใด? ยิ่งมาตรการและโครงการต่างๆ ของพรรคพลังประชารัฐที่ออกมา แล้วมีการผูกโยงชื่อไว้กับตัวพรรคฯ ผ่านวลี “ประชารัฐ” ต่อท้าย ก็ไม่แปลก! หากพรรคร่วมรัฐบาล อย่าง...พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย จะปฏิเสธการเข้าร่วมมาตรการและโครงการของรัฐบาล ในซีกพรรคพลังประชารัฐ สังคมไทยจึงได้เห็น พรรคประชาธิปัตย์ จึงพุ่งเป้าไปยัง...โครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร ยิ่งได้ 2 กระทรวงสำคัญในมือ อย่าง...กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ยิ่งต้องเดินหน้าโครงการที่ว่านี้ พร้อมๆ กับละเลยที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับมาตรการและโครงการที่มีคำว่า “ประชารัฐ” ต่อท้าย ไม่ต่างจากพรรคภูมิใจไทย...ที่โฟกัสไปกับสารพัดโปรเจ็กต์ทางด้านการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก เรือ และอากาศ ประมาณว่า...พรรคร่วมรัฐบาล ต่างเร่งสร้างผลงานของใครของมัน! จนไม่เกิดความเชื่อมโยงในมาตรการและโครงการใดๆ ของ “รัฐบาลประยุทธ์ 2” อันจะก่อประโยชน์ต่อภาพรวมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ สัญญาณนี้ ผู้สื่อข่าวจับได้ไล่ทัน...เลยถามเอากับ “อดีตหัวหน้าทีมรัฐบาล” อย่าง...นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันดูแลงานด้านเศรษฐกิจ เฉพาะกระทรวงหลักๆ ของพรรคพลังประชารัฐ ให้กับ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ-ตัวจริง” (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เล่นเอา “รองฯ สมคิด” เกิดอาการน็อตหลุด! ตอบคำถามแรงๆ เอากับผู้สื่อข่าวที่กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำนอง...“ผมไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” พร้อมกับตอกใส่ผู้สื่อข่าวอีกว่า...ตนไม่สามารถจะไปตามหรือความคืบหน้าของเรื่องใดๆ จากกระทรวงเศรษฐกิจที่ไม่ได้ดูแลรับผิดชอบได้ หากนักข่าวอยากรู้ว่าแต่ละกระทรวงมีผลงานอะไรบ้าง ให้ไปถามเจ้ากระทรวง “ต่างพรรคการเมือง” กันเอง เล่าเอา “ร้อน” ทั้งในและนอกพรรคพลังประชารัฐ เพราะหลังจากนั้น...ไม่นานก็มี “ข่าวปล่อย” เกี่ยวกับการปรับคณะรัฐมนตรีตามมา แล้วยิ่งมีคดีความระหว่าง...สื่อค่ายใหญ่ย่านบางนา กับพรรคอันดับ 3 ของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่ง “คอการเมือง” ต่างรู้ดีว่า...สื่อค่ายใหญ่รายนั้น ทำงานรับใช้พรรคการเมืองใด? เรื่องมันเลยถูกนำไปผูกโยงทำนองที่ว่า...เหตุที่สื่อใหญ่ดังกล่าวออกมาโจมตี..รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยนั้น...เป็นเพราะรับ “ใบสั่ง” มาจากใครบางคน? ในแกนหลักทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ ถึงขนาดที่ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย อดไม่ได้ที่จะ “แขวะกลางสภาฯ” ไปถึงใครคนนั้น ประมาณว่า “สู้เอาเวลาในการชงข้อมูลให้สื่อค่ายนั้นฯ มาโจมตีพรรคภูมิใจไทย ไปใช้เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจจะดีกว่าไหม?” ปมร้อนๆ ระหว่าง...ทีมเศรษฐกิจกับฟากการเมืองทั้งในและนอกพรรคพลังประชารัฐ ถูกนำไปผูกโยงกับความต้องการของ “ขาใหญ่” ถึงขั้นวางแผน “โละ” ทีมเศรษฐกิจของพรรคแกนนำรัฐบาล เริ่มจาก...เปลี่ยนตัว เลขาธิการพรรคฯ ให้ได้เสียก่อน จากนั้น...ค่อยเปลี่ยนหัวหน้าพรรคฯ และลามไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ดีที่ว่า...“หัวหน้ารัฐบาล” และ “พี่รองฯ” ทัดทาน “พี่ใหญ่” ได้ทัน...ในสถานการณ์ที่ยากจะหาใครมาคัดท้าย “ทีมเศรษฐกิจ” ยามนี้ได้ แผนการข้างต้น...จึงต้อง “พับเก็บ” ไว้ก่อน เห็นได้จากการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันวานนี้ (21 ธันวาคม 2562) มีเพียง...การปรับโครงสร้างใหม่ ด้วยการเพิ่มตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคฯ ให้กับมุ้งต่างๆ ไปถ้วนหน้า โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคฯ แต่อย่างใด? กระนั้น ก็มีเสียงค่อนขอดให้ได้ยิน ทำนอง “ขืนเปลี่ยนม้ากลางศึก เรืออาจคว่ำจมน้ำได้” จำเป็นต้องรอเวลาอีกสักระยะ หากจะมีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี ก็เป็นเพียงเพื่อลดแรงกดดันก่อนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจกลางเดือนมกราคม 2563 เรื่องจะปรับแบบโละอย่างที่เคยคิด...คงรอให้ผ่านเรื่องยากๆ ไปก่อน ไม่แน่ว่า...การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติ 5 : 2 ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ “ยุบพรรคอนาคตใหม่” หากสำเร็จตามที่ใครบางคนคาดหวัง การจะมี ส.ส.ซีกรัฐบาลเพิ่มเติมจากกลุ่ม “งูเห่า” ของพรรคฝ่ายค้าน ก็อาจไม่ไกลเกินฝันนัก ถึงตรงนั้น การต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น พรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคภูมิใจไทย คงทำได้ดีและมากขึ้นกว่านี้ ที่สำคัญการจะโละทิ้ง “ทีมเศรษฐกิจ-ชุดเดิม” ที่ทุกคนก็รู้ดีว่า ทั้งหมด “อันเดอร์” อยู่กับใคร? ก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไรนัก มากไปกว่านั้น...อาการที่บางคน? เคยกังวลใจกับ...พฤติกรรมของ ส.ส.จากพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ที่มักจะขอหารือกับประธานสภาผู้แทนราษฎรอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหารือถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือการตั้งกรรมาธิการศึกษาผลคำสั่งมาตรา 44 ของ คสช. สิ่งเหล่านี้...คงจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่สิ่งที่คิด...หาได้เป็นเช่นนั้นเสียทุกอย่างไม่? ยุบไม่ยุบ! พรรคอนาคตใหม่ ยังต้องลุ้น! หากยุบได้จริง...ก็ไม่แน่ว่า ส.ส.แพแตก จะไหลไปรวมกับพรรครัฐบาลอย่างที่ฝัน ยิ่งกระแส...ต่อต้านและขับไล่ “งูเห่า” ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดปทุมธานีของพรรคเพื่อไทย หรือการรวมพล “เดินไล่ป้า” ของชาวเชียงใหม่กับอดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่...กำลังมาแรง เชื่อว่าปรากฏการณ์นี้...คงไม่ทำให้ ส.ส.แพแตก ไหลไปรวมกับพรรครัฐบาล แต่จะกลับไปร่วมกับพรรคเก่า-ใหม่ในซีกของฝ่ายค้าน...มากกว่า ถึงตรงนั้น...ใครที่คิดจะเปลี่ยน “ทีมเศรษฐกิจ” และ “ทีมผู้บริหารพรรคฯ” อาจต้องเปลี่ยนใจ หรือไม่ก็จำต้องกลับไปเลี้ยงหลานที่บ้าน เพราะจากกระแส...ต่อต้านและขับไล่ “งูเห่า” ที่หยิบวลี “เดินไล่ป้า แล้วคอยไปวิ่งไล่ลุง” มาเป็น “ยุทธศาสตร์การเมืองนอกสภาฯ” ครั้งนี้ จะถูกผูกโยงไปกับสารพัด “ม็อบ” ทั้งที่เป็นกลุ่มเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวประมง และชาวบ้านร้านตลาด...ผู้ที่เดือดร้อนกันจริงๆ ผนวกรวมกับ “แฟลชม็อบ” ภายใต้การนำของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่วันนี้...ยังคงมีดีกรีเป็น “หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่” และเมื่อทุกกลุ่มพร้อมจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังเสร็จสิ้นเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2562 ต้อนรับปีใหม่ 2563 ผ่านพ้นไปแล้ว ห้วงเวลานั้น ใครจะพาดพิงใคร ทำนองว่า...เป็นการจุดประกายได้แค่เพียง “ฟ็อกซี่ ไครซิส” เท่านั้น วลีนี้...อาจไร้ผล เพราะรอบนี้...กระแสพลังประชาชน ทั้งพวก “แดงเดิม” และ “เหลือง-สลิ่ม-กปปส.ที่กลับใจ” แถมด้วยพวก “ส้มดัดจริต” และ “ขาวไม่เอาเผด็จการ” จะดาหน้าออกมาร่วมกับสารพัด “ม็อบ” ข้างต้น ถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่จะเปลี่ยน “ทีมเศรษฐกิจ” หรือ “ปรับคณะรัฐมนตรี” กันเลย เพราะปรากฏการณ์นับจากนี้...อาจไถลไปได้ไกล เกินกว่าจะปรับเปลี่ยนรัฐบาลยกชุด! แต่จะถึงขั้น “ฉีกรัฐธรรมนูญ” หรือไม่? คงต้องติดตามดูกันต่อไป... “สำนักข่าวเนตรทิพย์” แนะให้จับตาดูหลังสิ้นเทศกาลปีใหม่นี้แหล่ะ...รอกันอีกไม่นาน!!!.