การเมืองไทยจะเอากันอย่างนี้หรือ? พรรคอนาคตใหม่ รอดจากคดี “อิลลูมินาติ” (ล้มล้างการปกครองฯ) อีกฝ่ายจ้องยัดข้อหาใหม่ “คดียืมเงิน” ที่ กกต.บอกว่า “เงินกู้ยืม คือ รายได้” เมื่อไม่แจ้งที่มาของรายได้ อาจถึงกับ “ยุบพรรคฯ” ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล มีพฤติการณ์คล้ายกัน แต่ “เนติบริกร” บอกว่า...ต่างคน (พรรค) ต่างทำ ไม่มีผลให้ต้องยึดบรรทัดฐานเดียวกัน
คดี “อิลลูมินาติ” หรือข้อหาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 แห่งรัฐธรรมนูญ ที่ นายณฐพร โตประยูร ผู้ร้อง “นักร้อง” วัย 70 ปี ดีกรี “ด๊อกเตอร์และปริญญาโทอีกหลายใบ” แถมเคยเป็นอดีต “ที่ปรึกษาแก่ผู้ตรวจการแผ่นดินและประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน” ช่วงปี 2553-2559 (ชุดของนายศรีราชา วงศารยางค์กูร)
ได้ทำการยื่นฟ้องร้องพรรคอนาคตใหม่ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีพรรคอนาคตใหม่ เป็น “ผู้ถูกร้องที่ 1”, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ “ผู้ถูกร้องที่ 2”, นายปิยบุตร แสงกนกกุล “ผู้ถูกร้องที่ 3” และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เป็น “ผู้ถูกร้องที่ 4”
หวังผลถึงขนาดยุบพรรคอนาคตใหม่..สุดท้าย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา ออกมาชัดเจน…พฤติการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ “ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ” และ “ไม่มีการยุบพรรคอนาคตใหม่”
ตอนหนึ่งของคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า “กรณีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 มีเจตนาล้มล้างการปกครอง ทั้งนี้ รายละเอียดการยื่นคำร้องเนื้อหาส่วนใหญ่ เป็นเพียงข้อห่วงใย กรณีผู้ร้องกล่าวอ้างเรื่องคลั่งไคล้ปรัชญาตะวันตก จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอว่า ปรากฏให้เห็นว่าจะใช้เสรีภาพในการล้มล้างการปกครอง สิ่งที่พบคือ ผู้ถูกร้องไม่ได้กระทำจนมีข้อเท็จจริงว่า ทั้ง 4 พยายามล้มล้างการปกครอง การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 4 ไม่ใช่การใช้เสรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
หันไปดูที่คนร้อง แม้นายณฐพร โตประยูร จะยืนยันหนักแน่น ว่า...ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังการยื่นคำร้องในคดี “อิลลูมินาติ” ก็ตาม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย “ยกคำร้อง” ไปแล้ว จำเป็นหรือไม่ ที่ตัวคนร้อง...จะต้องได้รับผลพวงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ?
เป็นที่สังคมไทยจำเป็นจะต้องได้เห็นบรรทัดฐาน เหมือนเช่นบรรทัดฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญ สร้างไว้ในคดี “อิลลูมินาติ”
นายปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย “ยกคำร้อง” ในคดีนี้ เอาไว้อย่างน่าสนใจ ถึงผลร้ายจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยตามมา หาก “คดีอิลลูมินาติ” มีผลถึงกับต้องยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยสรุปเอาไว้ 3 ด้านใหญ่ๆ
1. การยุบพรรคอนาคตใหม่ คือ การทำลายความหวังและความฝันของคนไทยทั้งประเทศ ที่อยากเห็นการเมืองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
2. เกิดการแบ่งแยกกันของช่วงวัย ช่วงอายุของคนในสังคม หรือที่เรียกว่า “Clash of Generations” ที่จะแตกแยกขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นไปอีก
3. และที่สำคัญที่สุด นี่จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เรานำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างศัตรูทางการเมือง คุณกำลังจะผลักไสกลุ่มคนจำนวนมากในสังคม ให้ไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างนั้นหรือ??? นี่คืออันตรายที่คุณไม่รู้ตัว หรืออาจรู้แต่ไม่สนใจก็ไม่ทราบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า…พรรคอนาคตใหม่ รอดพ้นจากคดี “อิลลูมินาติ” ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ว่า...อนาคตของพรรคอนาคตใหม่นี้ ยังจะรอดพ้นการถูกยุบพรรคฯ ได้หรือไม่?
เพราะยังเหลืออีกหลายคดี ทั้งที่บรรดา “นักร้อง” ทั้งหลายรอและจ่อคิวยื่นฟ้อง รวมถึงกับบางคดีที่กำลังรอการวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ “คดีกู้ยืมเงิน”
และแม้ว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า…มีอีกหลายพรรคการเมือง อยู่ในข่ายทำการกู้ยืมเงินไปใช้ในพรรค ไม่ต่างจากพรรคอนาคตใหม่
ที่สำคัญในจำนวนนี้ มีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอย่างน้อย 3 พรรค ได้แก่ พรรครวมพลังประชาชาติไทย, พรรคพลังท้องถิ่นไท และพรรคชาติพัฒนา อยู่ในข่ายจะต้องถูก “ยุบพรรค” ไปด้วย เพราะมีพฤติกรรมที่พรรคกู้ยืมเงินจาก...เจ้าของและกรรมการบริหารพรรค เช่นกัน
แต่ก็เป็น “เนติบริกร” อย่าง...นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาชี้นำ และหาทางออกให้พรรคการเมืองเหล่านั้น ทำนอง…ศาลไม่จำเป็นต้องใช้มาตรวัดเดียวกับพรรคอนาคตใหม่
สรุปกันชัดๆ ว่า...หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย “ยุบพรรคอนาคตใหม่” ก็ไม่แน่ว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มีลักษณะกู้ยืมเงินคล้ายกัน...จะต้องถูกยุบพรรคเหมือนกัน
เนื่องจาก...ต่างคนต่างทำ ต่างกรรมต่างวาระ
ถ้าบ้านเมืองไทย...จะเอากันอย่างนี้จริงๆ กล่าวคือ....“มีพฤติกรรมเหมือนกัน พรรคอื่นผิดหมด แต่พรรคพวก (ข้า) ไม่ต้องรับผิด”
แล้วบ้านเมืองไทย...คนไทย เราจะอยู่กันอย่างไร?