หากเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองแบบพลิกผัน และมากกว่าแค่การประกาศ “ลาออก” การเลือกตั้งครั้งใหม่ อาจปรากฏนาม “แคนดิเดท-นายกรัฐมนตรี” มากกว่า 1 ชื่อในนามพรรคแกนนำรัฐบาล อย่าแปลกใจ! เหตุใด “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” จึงเดินสายหาเสียงถี่ยิบ! ในช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้
แม้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ผู้มีอิทธิพลเหนือ “รัฐมนตรีเศรษฐกิจ” ในซีกของพรรคพลังประชารัฐ จะออกตัวอย่างแรง...ระหว่างนำทีมฯ “ฝ่ายการเมือง - ข้าราชการประจำ” ลงพื้นที่แดนใต้ เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ก่อน
ภายใต้การดำเนินโครงการประชารัฐสร้างไทย พัฒนาปักษ์ใต้ ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ในท่วงทำนอง...
อายุของรัฐบาลนี้ ยังจะอยู่อีกยาวนาน ไม่มีการยุบสภาฯ-ลาออก ฉะนั้น เจ้าหน้าที่รัฐ...อย่าได้คิด “ใส่เกียร์ว่างเด็ดขาด!”
หลายเอาคนเกิดความสงสัย? ทำไม...จู่ๆ นายสมคิด คนที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล ให้เครดิตและความนับถืออย่างมาก...จึงออกอาการอย่างนี้?
หรือมีสัญญาณอะไรบางอย่าง บ่งชี้ว่า...อายุของ “รัฐบาลลุงตู่” จะสั้นและอยู่ได้ไม่นาน?
ส่วนหนึ่ง เพราะตัวนายสมคิดเอง...ช่วงหลังเดินสายตรวจเยี่ยม สั่งการ ติดตาม และมอบนโยบายให้กับหน่วยงานต่างๆ มากมาย และถี่ยิบ! จนบางคนข่อนคอดให้ได้ยิน...เตรียมลงพื้นที่ “หาเสียง” กันแต่หัววันเลยหรือ?
ช่วงสายของวันพรุ่งนี้ (5 ก.พ. 2563)...ก็มีโปรแกรมเดินสายตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่ผู้บริหารของธนาคารออมสิน ที่สำนักงานใหญ่ ย่านสะพานควาย
ยิ่งเป็นช่วงรอยต่อ...การสรรหา “ผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่” และเป็นนายสมคิดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่า...ใครควรจะมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ ดังนั้น การเดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานให้แก่ธนาคารออมสินครั้งนี้
จึงถูกจับตามองอย่างมาก ว่า...นายสมคิด กำลังคิดอะไรอยู่? ทั้งกับบริบทในความเป็น “รัฐบาล” และการได้มาซึ่ง “ผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่” ที่จะต้องนั่งบริหารงานต่อจากนายชาติชาย พยุหานาวีชัย ที่กำลังจะสิ้นสุดวาระการทำงานในช่วงกลายเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้
หรือเขากำลังทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อมกัน..
หนึ่ง...ต้องการวางฐานรากในธนาคารแห่งนี้ ด้วยการส่ง “คน” (ของตัวเอง) ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่ใหญ่สุด และมีฐานะทางการเงินเข้มแข็งมากๆ โดยตัวเลขล่าสุด ณ สิ้นปี 2562 ระบุชัดว่า...ธนาคารออมสิน มีสินทรัพย์มากถึง 2.8 ล้านล้านบาท มีเงินฝาก 2.41 ล้านล้านบาท และมียอดสินเชื่อ 2.15 ล้านล้านบาท ที่สำคัญมีกำไรมากถึง 26,554 ล้านบาท
สถานะของธนาคารออมสิน...เข้มแข็ง มั่นคง และมีอนาคต ที่ดีกว่า...บางรายใน “5 แบงก์ใหญ่” ด้วยซ้ำไป
มากกว่านั้น คือ การที่ธนาคารออมสินถูกวางตัวให้เป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจะต้องตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านธนาคารออมสินในยุคของนายชาติชายก็ทำได้ดีเกินคาด
อีกหนึ่ง...ต้องการ “ปูทาง” ในทางการเมือง หากเกิดเหตุการณ์พลิกผัน จนทั่ง “รัฐบาลลุงตู่” อยู่ไม่ได้ จะเพราะเหตุผลที่บริหารประเทศแบบ...ถอยหลังเข้าคลอง! กระทั่งเศรษฐกิจในทุกมิติ และทุกเครื่องยนต์กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “ดับสนิท” ไปพร้อมกัน
จนทำให้อารมณ์ของผู้คนในสังคมไทยยามนี้ เหมือนหรือคล้ายกันมาก นั่นคือ...เบื่อ เอือมระอา และไม่คิดจะฝากอนาคต หรือความหวังใดๆ ไว้กับ “รัฐบาลลุงตู่” อีกต่อไป
ถึงขนาดที่หลายคนพูดกระทบให้ได้ยินดังๆ ทำนอง...แค่ “ลุงตู่ลาออก” พรุ่งนี้...หุ้นขึ้น เศรษฐกิจดี ส่งออกขยายตัว...เติบโตทันที!!!
หรือเพราะพิษ “เสียบบัตรแทนกัน” ระหว่างลงคะแนนเสียงโหวตรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เพราะดันไปเข้าข่าย...“ลงคะแนนให้กัน” ทั้งที่ “ส.ส.เจ้าของบัตร” ไม่ได้อยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ขัดกับหลักการแห่งประชาธิปไตย และขัดเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งนั่น...อาจทำให้ศาลรัฐธรรมนูญที่รับเรื่องไปวินิจฉัยแล้ว อาจมีคำตอบที่ไม่เป็นคุณต่อ “รัฐบาลลุงตู่” มากนัก
หรือแม้แต่...การก้าวย่างสู่ “ฤดูล่า (หัว) ในทางการเมือง” หลังจากฝ่ายค้านประกาศว่ามี “ข้อมูลเด็ด” รอปลิดชีพ รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้อยู่หลายคน และคนที่น่าจะเป็น “เป้าจริง” มากที่สุด คงไม่พ้น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะที่เป็น “หัวหน้ารัฐบาล”
หากอยู่ไม่ได้เพียงคนเดียว! นั่นก็หมายความว่า...แค่ พล.อ.ประยุทธ์ หรือ “ลุงตู่” เกิดอาการหงุดหงิดหัวใจ...กับข้อมูลและเหตุผลของพรรคฝ่ายค้าน กระทั่งลาออกหรือยุบสภาฯ ไปกลางครัน
รัฐมนตรีคนอื่นๆ ของรัฐบาลชุดนี้...ก็อยู่ไม่ได้!
และการสรรหา “หัวหน้ารัฐบาลคนใหม่” กรณี “การลาออก” ก็จะมีคนของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งก็คือ “ลุงตู่” อีกนั่นแหล่ะ เพราะเป็นเพียงรายชื่อเดียว ที่พรรคฯ ส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะ “แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี” กลับมาเป็น “หัวหน้ารัฐบาลอีกสมัย”
เพราะมี 250 ส.ว. เป็นฐานที่มั่นสำคัญ
แถมยังได้...“งูเห่า” จากพรรคฝ่ายค้าน ย้ายมาสังกัดพรรคโดยตรง และ/หรือ ย้ายผ่านไปเข้าพรรคเล็กในอาณัติ เอาไว้คอยเสริมแกร่ง...
การที่พรรคเศรษฐกิจใหม่ ซึ่ง...นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตหัวหน้าพรรคฯ ผู้ไร้บารมีและมิอาจจะชี้นำทิศทางของพรรคไปในแนวทางเดียวกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกาศ “แต่งตัวรอ” หากมี “เทียบเชิญ” เข้าร่วม “รัฐบาล ลุงตู่ 2/1 หรืออาจไปไกลถึงการเป็น “รัฐบาลลุงตู่ 3/1”
เหล่านี้...ล้วนเป็นประโยชน์ต่อคนที่ชื่อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ยิ่งนัก เพราะหากฐานเสียงสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐมีมาก ระดับที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิง...พรรคประชาธิปัตย์ และ/หรือพรรคภูมิใจไทย ที่ดูเหมือนจะไม่ยอมเป็น “เนื้อเดียวกัน” กับทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ สักเท่าใด?
ปัญหาตรงนี้...จะหายไปในทันที และเป็นนายสมคิด...ที่จะกลับมาผงาดในฐานะ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
จำเป็นเหลือเกินที่ นายสมคิด จึงต้องทำหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน ทั้งการ “วางคน” ในองค์กรที่มีบทบาทและความสำคัญต่อการขับเคลื่อนและสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาล และสร้างฐานเสียงเอาไว้รองรับ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ฉะนั้น จากนี้...สังคมไทยคงได้เห็น นายสมคิดคนนี้...เดินทางตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกันต่อไป
เพราะหากเหตุการณ์พลิกผันมากกว่าการประกาศ “ลาออก” ของ พล.อ.ประยุทธ์ กระทั่ง มีการเลือกตั้งกันใหม่ ชื่อ “แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี” ของพรรคพลังประชารัฐ อาจมีมากกว่า 1 ชื่อ และชื่อที่เพิ่มขึ้น ก็อาจเป็น “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รวมอยู่ในนั้นด้วย!!!