เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “เป็นคุณ” กับรัฐบาล แล้วจะไปสนอะไรกับ “กฎแห่งกู-กฎแห่งกรรม” สู้ปล่อยให้รัฐบาลนำเงิน 3.2 ล้านล้านบาทไปใช้เพื่อการพัฒนาประเทศดีกว่า ยกเว้น! พบโกง คงต้องใช้ “กฎกู” ย้อนศร “คนคอร์รัปชั่น” กันเสียบ้าง“กฎหมายอาจไม่เป็นธรรม แต่กฎแห่งกรรม...เป็นธรรมอย่างที่สุด!” หลายคนที่ใกล้ชิดธรรมะ อาจคิดเยี่ยงนั้น แต่หลักคิดนี้...ใช้ไม่ได้ในสถานการณ์ที่ประเทศไทย จำเป็นต้องได้รับโอกาสในการนำเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ไปใช้เพื่อการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไทยดังนั้น การที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5: 4 วินิจฉัยเมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สรุปความสั้นๆ ว่า... “กระบวนการให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ของสภาผู้แทนราษฎร ถือว่า “ขัดหลักนิติธรรม-ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” จากกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เสียบบัตร (ลงคะแนนเสียง) แทนกัน แต่ไม่กระทบต่อเนื้อหาสำคัญจึง "ไม่เป็นโมฆะ" แต่อย่างใด จึงโยงเรื่องกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎร กลับไปดำเนินการอภิปรายและลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วาระ 2 และ 3 ใหม่”จึงเป็นอะไรที่ “โล่งอก” อย่างมาก สำหรับ...ฟากรัฐบาล เพราะทำให้มีโอกาสกลับไปโหวตลงคะแนนกันใหม่ โดยไม่มีพฤติกรรม “เสียบบัตรแทนกัน” อย่างคราวก่อนแน่นอนว่า...“ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ” อย่าง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็คงต้องนัดหมายสมาชิกฯ ทั้งฟากรัฐบาลและฝ่ายค้าน กลับเข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อโหวตเสียง “รับ-ไม่รับ” ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 กันอีกรอบดีเดย์...นัดหมายรอบใหม่ ในวันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ หากไม่จบ...จะขยับออกไปอีก สัก 1-2 วัน ก็คงไม่เป็นไรนักประเด็นการโหวตลงคะแนนรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 ครั้งใหม่นี้ อาจไม่มี ส.ส. “อดีตฝ่ายค้าน” ที่ปันใจไปเข้าร่วมโหวตรับฯ กับฝ่ายรัฐบาลจะมีใครบ้าง? “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ขออนุญาตไม่เอ่ยถึง เกรงจะเป็น “เสนียดปาก”กลับเข้าสู่เรื่องที่จะต้องคุยกันต่อ นับจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ...ทิศทางและแนวโน้มการ “รับ-ไม่รับ” ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 จะเป็นอย่างไร? “สำนักข่าวเนตรทิพย์” มีความเชื่อไม่ต่างจาก “คอการเมือง” และคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย ว่าที่สุดแล้ว....ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี และประเทศไทย รวมถึงรัฐบาลไทยและส่วนราชการ ทุกกระทรวง ทุกกรมกอง จะมีเงินงบประมาณวงเงิน 3.2 ล้านล้านบาทใช้อย่างแน่นอนงบประมาณที่จะต้องไปใช้เป็นเงินเดือนข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ...ต่อให้ร่างงบประมาณฯ นี้ จะตกไป เพราะเป็น “โมฆะ” ก็ไม่ส่งผลมากนัก แต่เมื่องบประมาณปี 2563 ไม่มีปัญหา (เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เพราะที่สุด...เสียงสนับสนุนจากฝั่งรัฐบาล และกองเชียร์ “งูเห่า” ฟากฝ่ายค้าน จะวนกลับมายกมือสนับสนุนให้ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 ผ่านไปจนได้) การขับเคลื่อนทั้งงบรายจ่ายประจำ งบประมาณผูกพัน และงบเพื่อการลงทุน โดยเฉพาะตัวหลังนี้ รัฐบาลและกระทรวงการคลัง คาดหวังจะนำเม็ดเงินเฉียด 7 แสนล้านบาท เอาไปใช้เพื่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ขยายท่าเรือเฟสใหม่ เมืองการบิน ฯลฯพื้นที่ในโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) น่าจะได้รับอานิสงส์มากสุด เมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ไม่เฉพาะโครงการขนาดใหญ่ แต่กับโครงการขนาดกลางๆ ไหลต่ำไปจนถึงโครงการขนาดเล็ก ขนาดย่อม และระดับจิ๋วๆ ที่รอสัญญาณการ “ลงนามในสัญญา” จนถึงตรงนี้...ต่างกระดี๊กระด๊ากันเป็นทิวแถวเรื่องที่จะอัดอั้นและค้างปากท่ออย่างที่หวั่นเกรงกันนั้น...ไม่น่าจะเกิดขึ้นให้ได้เห็นกันอีกสิ่งที่หลายฝ่าย เป็นห่วงมากกว่าก็คือ...นี่มันก็ผ่านปีงบประมาณฯ 2563 ไปถึงเกือบ 5 เดือนเต็ม (1 ตุลาคม 2562 – 13 กุมภาพันธ์ 2563) แล้วรัฐบาลจะจัดการกับวงเงินเพื่อการลงทุนมากกว่า 6.7 แสนล้านบาทกันอย่างไร?เรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวเคยถาม นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง แล้ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า...คงต้องรอประสานกับทางสำนักงบประมาณอีกที เชื่อว่าหากใช้จ่ายจริง แม้วงเงินเพื่อการลงทุนจะถูกนำไปใช้จ่ายไม่ทันต่อระยะเวลาที่เหลือ ทางสำนักงบประมาณจะมีทางออกในเรื่องนี้แม้ นายอุตตม จะไม่พูดให้ชัดลงไป แต่ใครที่ติดตามเรื่องมาตลอด คงพอรู้ดีว่า...หากวงเงินงบประมาณเพื่อการลงทุนของปีงบประมาณ 2563 ใช้จ่ายไม่หมด ทางสำนักงบประมาณ ก็คงต้อง “นำไปทบ” กับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่นี่ก็ใกล้ถึงเวลาหารือกันอีกแล้วพูดง่ายๆ หากงบประมาณเพื่อการลงทุนในปีฯ 2563 ใช้ไม่หมด จะถูกนำไปสมทบกับงบประมาณเพื่อการลงทุนในปีฯ 2564 อย่างไม่ต้องสงสัย?แม้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ไม่ได้เห็นดีไปด้วยกับแนวทางนี้ แต่มันก็น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในยามนี้แล้วประเทศไทยต้องขยับขับเคลื่อนไปข้างหน้า ยิ่งในช่วงภาวะวิกฤติซ้ำซ้อนหนักหน่วงมากขนาดนี้ คนไทยต้องให้อภัยและรู้จักให้โอกาสกันบ้าง ขณะเดียวกัน รัฐบาลของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” เอง ก็จะต้องกำชับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เร่งขับเคลื่อนการลงทุน และดำเนินการอย่างโปร่งใสประเทศไทยไม่มีเวลาให้ “มือสมัครเล่น” มาลองผิดลองถูกกับ...การบริหารราชการแผ่นดิน และไม่มีเวลาให้ใครมากอบโกยและโกงกินเอากับเงินงบประมาณแผ่นดิน โดยเฉพาะในฟากของงบประมาณเพื่อการลงทุน เพราะบ้านเมืองเรา “ติดหล่ม” เดินเวียนวนอยู่ภายในเขาวงกตมายาวนานเกินไปแล้วก็อย่างที่ “โฆษกพรรคพลังประชารัฐ” นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการ รมว.คลัง เคยบอกไว้ในทันทีที่ทราบข่าว...ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาในลักษณะที่ “เป็นคุณ” กับรัฐบาล ทำนอง...“ต้องขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญที่หาทางออกให้กับประเทศ รัฐบาลและทุกฝ่ายรู้สึกโล่งใจที่งบประมาณฯ 2563 ไม่โมฆะ โดยจะมีการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาในวันที่ 13 ก.พ.นี้” พร้อมกับเชิญชวนพรรคร่วมฝ่ายค้านให้ช่วยกันพิจารณาอย่างเร่งด่วนเพื่อผ่านงบประมาณในวาระ 2-3 และรัฐบาลจะได้นำเม็ดเงินไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เนื่องจากหากล่าช้าไปกว่านี้จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้าน และฝากไปยัง ส.ส.ทุกคน ให้ปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการเสียบบัตรลงคะแนนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอีก“เมื่องบประมาณฯ 2563 ผ่านสภาฯแล้ว จากนี้ไป รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการใหญ่ๆ ของรัฐบาล เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศษฐกิจฐานรากของประเทศผ่านโครงการและมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะกับมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” เฟส 4 ที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการทันที โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ย้ำว่า การที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำเงินงบประมาณปี 2563 ไปใช้ผ่านโครงการและมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการนำเม็ดเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ส่วนตัวเชื่อว่า...จะช่วยพยุง ผลักดัน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศ และในประเทศไทย ยังต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แต่เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งเร่งดำเนินการเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมตามมา โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ถึงตรงนี้...เว้นวรรค “กฎแห่งกรรม” เอาไว้กัน ประเทศไทยจำเป็นจะต้องได้รับความร่วม ร่วมแรงและร่วมใจ ในการจะผลักดันให้ชาติบ้านเมือง ก้าวข้ามปัญหาและอุปสรรคที่ขวางกั้น ไปให้ได้เสียก่อนส่วนใคร? กลุ่มไหน? จะเลือกใช้ “กฎแห่งกู” เพื่อนำเอางบประมาณรายจ่ายประจำปีมาพัฒนาประเทศ จำเป็นที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับกฎกติบ้าๆ บอๆ จำต้องปล่อยผ่านกันไปก่อนไปตรวจสอบกันแน่นหนักอีกที! ก็ตอนใช้จ่ายกันอย่างเมามันส์และสนุกมือในช่วงเวลาที่เหลือน้อยในปีงบประมาณ 2563 นั่นแหละถึงตอนนั้น...หากพบว่า ใคร? จากหน่วยงานใด? มีพฤติกรรมฉ้อฉล เล่นกลเอากับเงินภาษีประชาชน คราวนี้...ไม่ต้องรอ “กฎแห่งกรรม” อะไรอีกแล้ว ย้อนศร...เอา “กฎแห่งกู” ไปจัดการคนกลุ่มนี้ ซะเลย!!!