จบลงไปแล้วสำหรับการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนที่ประเทศไทยปีนี้รับเป็นประธาน ท่ามกลางฝุ่นควันของการเลือกตั้งที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่า ใครจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และฝุ่นควันพิษ PM 2.5 ที่ภาคเหนือ
และจะไปเปิดหน้าไพ่กันอีกครั้งหลังจากช่วงราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 10 เสด็จขึ้นครองราชย์
ทำให้ช่วงเดือนเมษายน ซึ่งมีวันหยุดราชการยาวนานเป็นพิเศษประจำปี ทำเอาการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนที่จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย กลายเป็นเรื่องไม่น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น
กรอบของการประชุมให้น้ำหนักกับ 3 เรื่องของความเชื่อมโยง ในเรื่องระบบการชำระเงินและบริการเพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนในอาเซียน ความยั่งยืน โดยจะส่งเสริมให้ภาคการเงินสามารถตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในการเข้าถึงบริการทางการเงิน และการสร้างภูมิคุ้มกัน ในเรื่องของความปลอดภัยไซเบอร์
รวมทั้งหารือเรื่องการเปิดเสรีการค้าบริการทางการเงิน และสนับสนุนส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในภูมิภาคอาเชียนการส่งเสริมการเงิน เพื่อความยั่งยื่นในฝั่งตลาดทุน และภาคธนาคารส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินในอาเซียน และพิจารณาคู่มือกฎระเบียบการประกันภัยการขนส่งทางทะเล อากาศและสินค้าผ่านแดน และยังได้เห็นชอบการปรับปรุงกระบวนการทำงานในการพัฒนาตลาดทุน และจัดตั้ง Web Portal เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกรอบความร่วมมือทางการเงินของอาเซียน
นอกเหนือจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือเรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน บวก 3 ซึ่งรวมจีน เกาหลีใต้และญี่ปุ่น และเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้ แม้จะขยายตัวได้ แต่จะชะลอตัวลงจากปีที่แล้ว มาจากผลกระทบสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ผลดังกล่าวทำให้ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณว่า จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้
ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพการให้ความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างสมาชิกในอาเซียนจากเดิมให้กลายเป็นพหุภาคี เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยจะเริ่มมีการทดสอบการเบิกจ่ายและถอนจริงของประเทศสมาชิกในการรองรับผลกระทบทางการเงินของสมาชิกด้วยกัน ซึ่งจะทดสอบในครึ่งหลังของปี และยังเห็นขอบแผนมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียโดยสนับสนุนการพัฒนาตลาดตราสารหนี้สีเชียว และการพัฒนาการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางสหรัฐที่ประกาศชัดเจนว่า จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้อีกแล้ว เป็นสัญญาณที่บอกว่า ความจริงแล้วเศรษฐกิจสหรัฐ ยังไม่เข้าสู่ภาวะแข็งแกร่งและกำลังจะเข้าสู่ภาวะของปัญหาอย่างหนักหน่วงจากพิษของสงครามทางการค้า
ซึ่งแน่นอน ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยด้วยที่ฐานะทางเศรษฐกิจถือว่าไม่มั่นคง เห็นได้จากการที่ศูนย์วิจัยทางเศรษฐกิจของหลายธนาคาร ซึ่งรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ประกาศลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลงจาก 4 % เหลือต่ำกว่า 4 % บางสำนักหดลงเหลือ 3.6 %
เหตุมาจากเครื่องจักรสำคัญคือ การส่งออกไม่ได้ฟื้นตัวเหมือนที่คาดเอาไว้ก่อนหน้าในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ สัดส่วนของตลาดส่งออกพบว่า มูลค่าการส่งออกของไทยหดตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 70 % ของตลาดส่งออกรวม การลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัวลงภาคการท่องเที่ยว ถึงจะฟื้นตัวแต่ก็ไม่แรงเท่าที่คาดไว้
ปัจจัยทางด้านการเมือง กลายเป็นเรื่องหลักที่ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนไปยาวจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ ประกาศนโยบายต่อรัฐสภา เดินหน้าทำงาน กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง เศรษฐกิจไทยต้องรอไปถึงต้นไตรมาส 3 หรือ 4
มาตรการอัดฉีดให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้า คงพลิกตำรากันแทบไม่ได้ เพราะรัฐบาลนี้ เล่นใช้เงินล่วงหน้า ประชานิยม หว่านแหจนแทบหมดหน้าตัก
รัฐบาลหน้า หากยังเป็นพรรคเดิม ต่อให้มี ”สมคิด” อีกสัก 10 คน ก็ไม่น่าจะเอาอยู่!
โดย..คนข้างนอก