ถ้า “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พี่ใหญ่ของ 3 กุมาร อย่างนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษาฯ ถึงขนาดเปรยๆ เหมือนคน “ปลงตก” ว่าคนดีๆ กำลังจะหายไปจากการเมือง แล้วล่ะก็!เชื่อว่าอนาคตนายสมคิดกับ 3 กุมาร คงไม่ได้วีซ่าไปต่อกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากนายอุตตม และนายสนธิรัตน์ ถูกตีถอยร่น! หลุดออกจากหัวหน้าและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพื่อหลีกทางให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ขึ้นมาคุมพรรคแต่ชะตากรรมของนายสมคิด และ 3 กุมาร คงไม่จบแค่นั้น เนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องปรับคณะรัฐมนตรี ริบเก้าอี้รองนายกฯ ของนายสมคิด และอีก 3 รัฐมนตรี (3 กุมาร) มาแจกจ่ายให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ของพรรคถามว่า ทำไมจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในพรรคพลังประชารัฐในช่วงนี้ แล้วต้องลามไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ด้วยเหตุผล 3 ประการ1. ปัญหา “แย่งชามข้าว” กัน โดยเฉพาะเรื่องเงินกู้ 4 แสนล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นที่หมายปองของทุกพรรคร่วมรัฐบาล และทุกมุ้งในพรรคพลังประชารัฐสำหรับพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ถูกตีกันด้วยกระแสข่าวว่าจะดึงพรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมรัฐบาล เพื่อตรึงพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ไม่ให้ต่อรอง หรือขยับตัวไปไหน ปล่อยข่าวจนนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องออกมาปฏิเสธว่า จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐโดยเด็ดขาดคราวนี้ก็เหลือแต่บรรดามุ้งต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการมีส่วนร่วมกับเงิน 4 แสนล้านบาทเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐ ส่วนใหญ่ไม่เอานายสมคิดกับ 3 กุมาร เพราะนายสมคิด และ 3 กุมาร สามารถต่อสายตรงถึงนายกรัฐมนตรี และต่อสายตรงถึง “เจ้าสัว”ได้เลยพูดง่ายๆ ว่า นายสมคิดและ 3 กุมาร ไม่เห็นหัว ส.ส. ไม่ดูแล ส.ส.ในพรรค ถึงขนาดพูดกันว่า ถ้าเป็นแบบนี้เลือกตั้งครั้งหน้า พรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้อย่างหมดรูปอย่างแน่นอน จึงเป็นที่มาของการเขี่ยพ้นพรรค แล้วจะไม่ให้นายสมคิดและ 3 กุมาร มีที่ยืนในคณะรัฐมนตรีอีกต่อไป2. เพื่อ “หาแพะ” ต่ออายุรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไปอีกระยะหนึ่ง ด้วยการเปลี่ยน “ทีมเศรษฐกิจ” แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะออกตัวว่าเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่คนส่วนใหญ่ทราบดีว่า นายกรัฐมนตรีไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ ต้องใช้บริการทีมงานของนายสมคิดเป็นคลังสมองสำคัญของนายกฯปรากฏว่า ผลงานทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา “ไม่เอาอ่าว” เศรษฐกิจตกต่ำอย่างต่อเนื่องมา 6 ปี ชาวบ้านร้องยี้กันเป็นแถว ยิ่งเจอโควิด-19 ซ้ำเติมเข้ามาอีก ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งดำดิ่งลงไปใหญ่ ชาวบ้านขาดแคลนอาหาร ฆ่าตัวตายสูง ธุรกิจล้มละลาย ต้องขายกิจการ คนตกงานหลายล้านคนดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนแปลงในพรรค ยาวไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี เปลี่ยน “ทีมเศรษฐกิจ” เพื่อลดกระแสความเดือดร้อนของประชาชนทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และทีมเศรษฐกิจ ไม่รู้บริหารประเทศกันอีท่าไหน? เพราะยิ่งอยู่นานๆ ไป คนส่วนใหญ่ยิ่งคิดถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร สุดท้ายแล้ว นายสมคิดและ 3 กุมารจึงต้องตกเป็น “แพะ”อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้3. การเปลี่ยนแปลงในพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ เนื่องจากมีความขัดแย้งกันภายในอย่างหนัก ในเรื่องของ “อำนาจ” ที่ใครรู้ดีว่า พล.อ.ประวิตร เป็น “มือจ่าย” ตัวจริงของพรรค แถมมีความใกล้ชิดกับ ส.ส.ทุกกลุ่ม ลงลึกไปยังนักการเมืองท้องถิ่นทั้งนายก อบจ. และนายกเทศมนตรี ชนิดที่ พล.อ.ประยุทธ์ เทียบไม่ติดฝุ่นในขณะที่เก้าอี้รองนายกฯ ของ พล.อ.ประวิตร ครั้งนี้ เหมือนมา “มือเปล่า” กระทรวงกลาโหมก็ไม่ได้คุม สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่ได้คุมดังนั้น จึงต้องคอยดูหลังจาก พล.อ.ประวิตร ขยับเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ควบคุม ส.ส.ทั้งหมดเอาไว้ในมือ แล้วเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรีบผ่องถ่ายอำนาจมาให้ พล.อ.ประวิตร มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเนื่องจากขณะนี้อยู่ในสมัยประชุมสภาฯ ถ้า ส.ส.เบี้ยวขึ้นมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็หัวคะมำตกเก้าอี้ ส่วน พล.อ.ประวิตร ยังไม่ต้องฝันไกลไปถึงเก้าอี้นายกฯ ในรอบนี้ เพราะพรรคพลังประชารัฐเสนอแคนดิเดตนายกฯ ไว้ชื่อเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ หากหลุดจาก พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องเป็นรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคการเมืองอื่นว่ากันว่า..ถ้า พล.อ.ประวิตร ต้องการเป็นนายกฯ เร็วๆ ต้องทำรัฐประหาร หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องรอเลือกตั้งครั้งหน้า!! โดย..เสือออนไลน์