ภาพที่เห็นก็ว่ากันไป ส่วนภาพความจริงที่เป็นอาจไม่ใช่? หลายคนที่ไม่รู้ถึงเส้นสนกลใน และความสัมพันธ์ของตัวละครระดับ “หัวหน้ากลุ่มก๊วน” ทว่าหากรู้...จะคิดตามได้ทัน ว่าที่สุด! พวกเขาเล่นกันอย่างนี้จริงๆ
ไม่มีอะไรในกอไผ่!...ทุกอย่างเป็นไปตามคาดการณ์ที่หลายฝ่ายเคยวิเคราะห์กันไว้ก่อนหน้านี้..
“ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ต้องเข้ามานั่งเก้าอี้ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อย่างแน่นอน ส่วนจะนั่งเก้าอี้ตัวนี้แค่ 6 เดือน หรือจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่...ต้องไปลุ้นกันอีกที
ทางข่าว...เขาว่ากัน เพราะ “ลุงป้อม” มีภารกิจบางอย่างต้องทำ...ทำเพื่อให้พรรคพลังประชารัฐ เข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียว!
ในวันที่มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 ของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2563 และเป็นวันเดียวกับที่มีการเสนอชื่อชิงตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคฯ” ที่มีชื่อ “ลุงป้อม” เพียงคนเดียวนั้น ทุกเสียง...โหวตให้หมด ไม่มีแตกแถว!
“ลุงป้อม” นั่งเก้าอี้...หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยมี “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรคฯ ส่วนกรรมการบริหารพรรคฯและตำแหน่งอื่นๆ คงจะมีรายละเอียดตามกันมา
หลายคนเชื่อว่า...พล.อ.ประวิตร ในวัย 75 ปี และมีปัญหาด้านสุขภาพ คงต้องเร่งดำเนินการอะไรบางอย่างที่ยังค้างคาอยู่? ส่วนจะลำดับความสำคัญ...อะไรก่อนหลัง? คงต้องจับตาดูกันต่อไป
ทันทีที่ได้รับการเลือกให้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคฯ คนใหม่อย่างเป็นทางการ เจ้าตัวได้กล่าวขอบคุณสมาชิกพรรคที่ให้ความไว้วางใจ และแม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะถูกก่อตั้งมาไม่นาน แต่ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนอย่างดียิ่ง
“ผมพร้อมที่จะทำงานให้กับพรรคฯ จะนำพาพวกท่านไปด้วยความมั่นคง เชื่อมั่น และมีความสามัคคีกันตลอดไป ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงมีความสามัคคีกัน เป็นหนึ่งเดียว เพื่อจะสร้างพรรคของเราให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนให้ได้” พล.อ.ประวิตร ย้ำ
คำถามที่หลายคนสงสัย? การมาของ “ลุงป้อม” และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จะส่งผลกระทบในทางการเมือง ทั้งในระดับพรรคและระดับรัฐบาล (คณะรัฐมนตรี) ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และกลุ่ม “4 กุมาร” นำโดย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และอดีตเลขาธิการพรรคฯ หรือไม่? อย่างไร?
คำตอบคือ มี...แต่จะมีในระดับใดนั้น? คงต้องย้อนไปดูที่ความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คน และระหว่าง...1 คน กับอีก 3 คน รวมถึงกลุ่ม 1+4 และคนกลุ่มใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ เสียก่อน
เริ่มที่...ความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คน นั่นคือ พล.อ.ประวิตร และนายสมคิด
หลายคนอาจไม่รู้...รองนายกรัฐมนตรี 2 คนนี้...มีโอกาสกินข้าวร่วมกันบ่อยมาก ระหว่างกิน...ก็นั่งคุยถึงงานบ้านงานเมือง ทั้งในระดับพรรคและระดับรัฐบาล เรื่องจะแตกหัก ดังโพล๊ะ! อย่างที่หลายคนวิเคราะห์ เชื่อว่า...ไม่น่ารุนแรงถึงขั้นนั้น เนื่องเพราะลึกๆ ความสัมพันธ์ต่อกันยังมีเส้นบางๆ ที่เหนียวแน่น คอยผูกโยงและเกาะเกี่ยว แต่เพียงเพราะมีสถานการณ์...มุ้งเล็กในมุ้งใหญ่ จำเป็นจะต้องเล่นละคร พร้อมกับปรับเปลี่ยนบทบาทบางคน...บางกลุ่มเสียใหม่ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาพใหญ่
ต่อเนื่องกันไป...ใครที่มองว่า เส้นทางการเมืองของ “ลุงป้อม” อาจส่งผลสะเทือนถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอบอก...พี่น้องคู่นี้ รวมถึงพี่น้อง “3 ป” เขาปึ้ก! เกินกว่าที่หลายคนคาดคิด เรื่องแค่นี้...ไม่อาจสร้างความร้าวฉานให้กันได้
แต่หากจะมีการสลับปรับเปลี่ยนตำแหน่งและบทบาทระหว่างกัน นั่นเพราะ...ทุกฝ่ายสมยอม
ระหว่าง 1 คนกับอีก 3 คน หรือ นายสมคิด กับพี่น้อง “3 ป” ไม่ได้มีอะไรที่จะเป็นสัญญาณความบาดหมางระหว่างกัน พูดง่ายๆ คือ ยังคงประสานเป็นเนื้อเดียวกัน อะไรที่ “3 ป” และกองทัพ ต้องการ นายสมคิด และตัวแทนกลุ่ม “4 กุมาร” คือ นายอุตตม ในฐานะ รมว.คลัง ไม่เคยปฏิเสธ เห็นได้ว่า...ตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมา งบประมาณของกระทรวงกลาโหม รวมถึงกองทัพต่างๆ ถูกปรับเพิ่มขึ้นจากระดับแค่ 6-7 หมื่นล้านบาท ขยับไปจนทะลุปีละกว่า 2 แสนล้านบาท นี่ยังไม่นับรวม...งบประมาณผูกพันในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของเหล่าทัพต่างๆ
สรุปให้สั้น...พี่น้อง “3 ป” กับนายสมคิด ยังคงแน่นปึก!
ส่วนระหว่าง...กลุ่ม 1+4 และคนกลุ่มใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งก็คือ นายสมคิดและกลุ่ม “4 กุมาร” กับ ส.ส.ส่วนใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ ที่แม้จะมีภาพปรากฏให้สังคมไทยได้เห็น คือ ความบาดหมางและไม่ลงรอยกัน โดยเฉพาะการแบ่งงานในกระทรวงการคลัง ที่นายอุตตม ไม่ค่อยไว้ใจและไม่มอบหมายให้ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ทำงานใหญ่ๆ มากนัก
รวมถึงเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็น “ไฮไลต์สำคัญ” นั่นคือ...การปิดกั้นมิให้ ส.ส.ร่วมพรรคฯ การเข้าถึงตัวนายอุตตม เพราะรู้ดีว่า...ทุกครั้งที่ของการมาพบ จะมี “คำขอ” พ่วงเข้ามาด้วย เรื่องเล็กๆ ที่พอช่วยเหลือกันได้ คงไม่มีปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาคือ...เรื่องใหญ่ถึงใหญ่มาก โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณแผ่นดินและการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ รวมถึงโครงการ/มาตรการบางอย่างที่ควรจะถูกนำมาจัดสรรให้สมาชิกพรรคฯ กันบ้าง
เมื่อนายอุตตม...ปิดกั้น อาการโกรธาจากคนส่วนใหญ่ในพรรคฯ จึงบังเกิด!
แต่ลึกๆ ภาพระหว่าง “หัวหน้ากลุ่มก๊วน” ไม่ว่าจะเป็น...นายสมคิด นายสมศักดิ์ นายสุริยะ นายวิรัช รัตนเศรษฐ หรือนายสุชาติ ชมกลิ่น ต่างก็คุ้นชินมาก่อนและยังคงคุ้นชินกันอยู่ หลายคน...เคยร่วมงานกันทั้งในระดับรัฐบาล (ทักษิณ ชินวัตร) ในระดับพรรคการเมือง (ไทยรักไทย) ความผูกพันย่อมมี..
ภาพที่เห็นเหมือนจะมีปมขัดแย้งต่อกัน ล้วนเป็นเพียงบทบาทการแสดงในฐานะ “หัวหน้ากลุ่มก๊วน” เท่านั้น
ถึงตรงนี้...ต่อให้ นายสมคิด หรือกลุ่ม “4 กุมาร” จะไม่ได้อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ถึงขั้นที่บางคนหรือทั้งหมด...อาจหลุดจากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่นั่น...ก็ไม่ใช่ปัญหาในความผูกพันระหว่างกันของคนการเมือง ที่บางครั้งอาจต้องอาศัยภาพ...นักวิชาการมาเล่นการเมืองและนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ขณะที่บางครั้ง...อาจต้องอาศัยภาพ “การเมืองแบบเก่า” มาเพื่อเขย่าอารมณ์และความรู้สึกร่วมของสังคมไทย...จนเกิดอากรมึนตึ้บ! จนหลงลืมบางปัญหาที่ถูกหมักหมมเอาไว้
เขาเล่นกันแบบนี้จริงๆ!