แม้จะมีแต้มต่อเพียบ! โดยเฉพาะไม้เด็ดสุดท้ายคือ“ยุบสภาฯ” แต่ใช่ว่า“พี่น้อง3 ป” จะไม่ห่วงปมเศรษฐกิจและหาก“สมคิด” ถอดใจตาม”4 กุมาร” ใคร? จะเข้ามากุมทีมเศรษฐกิจ! เข้ามาแล้วจะรับมือ กับเครือข่าย“ลูกศิษย์ก้นกุฏิ” อย่างไร? แค่เกียร์ว่างก็หนักแล้วถ้าเจอวางยาไม่ต้องถึงกระอักเลือดเลยหรือ?
อย่างที่เคยเกริ่นเอาไว้…สายสัมพันธ์ระหว่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กับ “พี่น้อง 3 ป.” ไม่ธรรมดา…
แม้กระทั่งกลุ่มการเมืองมุ้งต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เหมือนจะขัดแย้ง… เป็นภาพของการเปิดศึกขับไล่กัน!
เอาเข้าจริง…นั่นก็เฉพาะกลุ่ม “4 กุมาร” ในความดูแลของนายสมคิด…หาใช่ตัวนายสมคิดไม่?
ถ้าเข้าใจการเมืองว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ล้วนๆ แล้ว…ภาพการขับไล่กลุ่ม “4 กุมาร” พ้นจากพรรค พปชร. และ ครม.ลุงตู่ 2/2 โดยยังคงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายสมคิดเอาไว้
จะไม่ใช่เรื่องแปลก! ในทางการเมืองบนแผ่นดินนี้เลย…
มีประเด็นที่ต้องจับตา และเป็นประเด็นที่ “พี่น้อง3 ป.” คนกุมอำนาจตัวจริงต้องคิดหนัก
ถ้าไม่ใช่นายสมคิด เพราะเจ้าตัวเกิดอาการน้อยใจ และขอไม่อยู่ช่วยงานของรัฐบาล และ “พี่น้อง 3 ป.” ล่ะก็
ใครกันจะเข้ามารับผิดชอบในฐานะ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ของพรรค พปชร.
อย่าลืมว่า…ตลอดระยะเวลา 5 ปีเศษ ของนายสมคิด กับทั้งรัฐบาล คสช. และรัฐบาลลุงตู่ ไม่ว่าจะในบทบาท “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” หรือเป็นแค่ “ร่างเงาหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” นั้น
บทบาทและเครือข่าย “ลูกศิษย์ก้นกุฏิ” ของนายสมคิด กระจายตัวไปในทุกมิติของกระทรวงการคลัง กระทรวงที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกระดับของประเทศไทย
จะว่าไปแล้วเครือข่าย “ลูกศิษย์ก้นกุฏิ” ของนายสมคิด ไม่ได้เพิ่งมาเกิดขึ้นเฉพาะในยุคของ “พี่น้อง 3 ป.” ทว่าเกิดขึ้นนับแต่วันที่เขาเข้าร่วมงานการเมือง ในฐานะ รมว.คลัง สมัยรัฐบาลไทยรักไทย และมีนายกรัฐมนตรีชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร แล้ว
นั่นคือ...ต้องย้อนหลังกลับไปในปี 2544 หรือเมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เลยทีเดียว
จาก “ทัวร์นกขมิ้น” หรือ “ครม.สัญจร” ที่นายสมคิดต้องติดตามคณะของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ลงพื้นต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง
จนถึงการต่อยอด…จัดทริป “กระทรวงการคลังสัญจร” ที่เน้นในเรื่องภารกิจและเนื้องานเป็นการเฉพาะของกระทรวงแห่งนี้…ก็เกิดขึ้นเพราะนายสมคิด
และเป็นช่วงเวลาที่นายสมคิด เริ่มสร้างเครือข่าย “ลูกศิษย์ก้นกุฏิ” ทั้งในฐานะ “คณะทำงาน” และ “ผู้บริหารองค์กร” ในส่วนราชการ รวมถึงหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง
กลุ่ม “4 กุมาร” ก็เกิดขึ้นในยุคหลังๆ นี้เอง
พูดง่ายๆ เครือข่ายของนายสมคิด ในกระทรวงการคลัง ถือว่า…หยั่งรากฝังลึก! ชนิดที่ “พี่น้อง 3 ป” จะทาบทาม หรือส่งใครลงมานั่งกำกับดูแลในยามที่สถานการณ์เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้
ต้องขอบอกว่าเหนื่อย…เหนื่อยชนิดรากเลือดกันเลยทีเดียว!
แค่มีชื่อ… “ดร.แหม่ม” นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาล และเพิ่งมีตำแหน่ง “เหรัญญิกพรรคฯ” มานั่งเก้าอี้ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ-คนใหม่”
เสียงยี้…ดังกระหึ่มเมือง!
จนผู้ใหญ่ในพรรค พปชร. และในรัฐบาลลุงตู่ ต้องให้เจ้าตัวออกมาแก้ข่าวกันให้วุ่น
เรื่องของเรื่องคือ…หาใครมาแทนสมคิดไม่ได้
หลายคนที่ส่งเทียบเชิญไม่ว่าจะเป็น… นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ หรือนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ที่ยังนั่งเก้าอี้ประธานสมาคมธนาคารไทยอีกตำแหน่ง รวมถึงคนอื่นๆ
ทุกคนต่างปฏิเสธที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้
ไม่เพียง…ปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่สงครามการค้าระหว่าง “สหรัฐฯ- จีน” เมื่อมาเจอปัญหาโควิด-19 ยิ่งทำเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยย่ำแย่หนักหน่วงมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
แต่ปมที่ซ่อนลึกมากยิ่งกว่าปัญหาเศรษฐกิจที่แก้ไขได้ยากยิ่งในยามนี้ ก็คือ ใครก็ตามที่คิดจะ “หักดิบ” นายสมคิด และกลุ่ม “4 กุมาร” แล้ว
คนพวกนี้…จะต้องเจออะไรกันบ้าง?
โดยเฉพาะความเป็นเครือข่าย “ลูกศิษย์ก้นกุฏิ” ของนายสมคิด ที่วันนี้ถือว่า...กระจายตัวไปในแนวกว้างและทางลึกอยู่ในกระทรวงการคลัง
เรื่องที่ “พี่น้อง 3 ป.” คิดจะ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” เอานายสมคิดออกไปนั้น ไม่น่าจะใช่?…
แต่เพราะการจะเก็บเอานายสมคิดไว้ โดยไม่เอากลุ่ม “4 กุมาร” นั่นน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญทำให้นายสมคิด อาจตัดสินใจ “ไม่อยู่” ร่วม ครม.ลุงตู่2/2
“คนเก่าไม่อยู่ คนใหม่ไม่มา” จึงกลายเป็นภาวะความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจไทย
ย้ำอีกครั้ง!…เป็นภาวะความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจไทย หาใช่ความเสี่ยงของ “พี่น้อง 3 ป.” หรือ ครม.ลุงตู่ 2/2 แต่อย่างใด
นั่นเพราะ…หากถึงทางตัน! พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็พร้อมจะยุบสภาฯเลือกตั้งกันใหม่ ด้วยเพราะมีแต้มต่อเหนือคู่แข่งพรรคการเมืองอื่นๆ มากมาย
ไหนจะรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เอื้อประโยชน์ต่อการเลือกตั้งให้กับบางกลุ่ม/พรรคการเมือง
ไหนจะ 250 ส.ว. ที่พร้อมยกมือสวน ส.ส.ฝั่งตรงข้ามรัฐบาลได้ตลอดเวลา
ยังมีเครือข่ายการเมืองแบบเก่า, ข้าราชการใต้อาณัติ, องค์กรอิสระบางค่าย, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, งบประมาณแผ่นดิน ทั้งที่ลับและไม่ลับ รวมถึงกระสุนดินดำในส่วนของพรรคฯที่เตรียมการพร้อมพรั่งสามารถเข้าสู่สงครามการเมืองได้ทุกเวลานาที
แล้วยังจะได้แรงหนุนจากกองทัพอีก!
ปัจจัยบวกมากมายขนาดนี้…ในทางการเมืองดูเหมือน “พี่น้อง 3 ป.” คงไม่ห่วงอะไร แต่ในทางเศรษฐกิจ แม้จะห่วงขนาดไหน? แต่หากเข้าโหมด “ถึงทางตันจริงๆ” พวกเขายังมีไม้เด็ดอย่างที่บอก นั่นคือ…การยุบสภาฯ
ถึงต้องย้ำนักย้ำหนาว่า…นี่คือภาวะความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจไทย
เพราะทุกคนต่างรู้กันดี โดยเฉพาะกับวลีจากคน 2 คนที่พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้…
คนหนึ่งคือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร. กับวลีในท่วงทำนอง “ขอทำหน้าที่หัวหน้าพรรคฯแค่ 6 เดือน หรือจนกว่าจะเลือกตั้งใหม่”
อีกคนคือนายสมคิด ที่เพิ่งตั้งใจหลุดคำพูดประมาณว่า “จะปรับ ครม.ก็ทำไป แต่ต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ คนเก่าที่แก้ไม่ได้…ก็ไม่ต้องอยู่ คนใหม่ที่ทำไม่ได้…ก็ไม่ต้องมา”
คำพูด 2 คนนี้ มันสะท้อนว่า…ถ้าได้คนมือไม่ถึงมานั่ง “ขัดตาทัพ” เป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ล่ะก็อีก 6 เดือนข้างหน้า คงจะได้เห็นการประกาศยุบสภาฯ…เลือกตั้งกันใหม่แน่!
ระหว่างนี้…จะเป็นนางนฤมล หรือใครก็ตาม ที่ต้องเข้ามาทำหน้าที่เป็นหนึ่งในทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ แล้วคิดเพียงหวังแค่จะเข้ามาเพื่อ…ตักตวงกอบโกย และกักตุนอะไรบางอย่าง? ล่ะก็…
อาจได้เจอปฏิกิริยา “แอบต่อต้านเงียบๆ” จากข้าราชการประจำในสังกัดของตัวเอง โดยเฉพาะเครือข่าย “ลูกศิษย์ก้นกุฏิ” ของนายสมคิด
ลำพังแค่ข้าราชการประจำเหล่านี้ “ใส่เกียร์ว่าง” ไม่ทำในสิ่งอันไม่ควรจะกระทำ…ก็นับว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้ว
หากทำ…และทำในแบบ “คนเล่นเกมการเมืองภายในองค์กร” ด้วยการ “วางยา” ใส่นักการเมืองที่ต่อให้ได้ชื่อว่า “เขี้ยวลากดิน” สุดๆ ขนาดไหน
คนพวกนี้…ยากจะรอดสันดอนได้ง่ายๆ
ผ่านตรงนั้นก็ต้องเจอตรงนี้ เป็นอย่างนี้…จนกว่าจะเข้าทางของใครบางคน?
คนอย่าง…นางนฤมล จะรับได้ไหมล่ะ?