ธนาคารโลกและธนาคารแห่งประเทศไทย ตัดสินใจปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ลง เพราะปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง และการส่งออกที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ปรับลดลงจากปัญหาสงครามทางการค้านายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทยธนาคารโลก กล่าวไว้ในรายงานวิเคราะห์เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ฉบับล่าสุดเดือนเมษายน โดยลดประมาณการการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 3.8% จากคาดการณ์เดิมเดือน ตุลาคม 2561 ที่จะอยู่ที่ 3.9% ส่วนปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.9%ลดน้ำหนักการส่งออกของไทยเหลือ 5.7% และปีหน้าขยายตัว 5.5% โดยภาคส่งออกที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา เนื่องจากสงครามการค้า รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง รวมไปถึงภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนักและธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกเหลือ 2.7% จากคาดว่าจะเติบโต 2.9% ขณะที่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งและถือว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ต่ำกว่าทุกประเทศในอาเซียน ที่เฉลี่ยโต 4-5% แต่มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมาธนาคารโลกคาดว่า ปีนี้การใช้จ่ายภาครัฐจะขยายตัว 4.6% ภาคเอกชนจะขยายตัว 4.3% ขณะที่การลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ ก็ช่วยประคองไม่ให้เศรษฐกิจถดถอยลง คาดว่าปีนี้การลงทุนภาครัฐขยายตัว 4.6% ภาคเอกชนขยายตัว 4.3%นอกจากนั้นปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองก็เป็นปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย แต่ในเดือนกรกฎาคม เมื่อรัฐบาลตั้งเสร็จแล้วและประกาศนโยบาย ธนาคารโลกจะปรับปรุงประมาณการเศรษฐกิจอีกครั้งนายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 จะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปี และมีโอกาสที่จะทำให้การส่งออกติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส ซึ่งจะทำให้การส่งออกขยายตัวได้ต่ำกว่า 3 % ซึ่งรับผลกระทบจากสงครามการค้าโลก และมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่า 3.8 % มีโอกาสสูงมากและหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าไปถึงเดือนมิถุนายนหรือลากยาวไปถึงเดือนกันยายน จะมีผลกระทบต่อการใช้จ่าย การลงทุน ความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระทบต่อตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม เพราะนักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจน สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันหรือรัฐบาลใหม่ต้องทำคือ สานต่อการลงทุน โดยเฉพาะในอีอีซีขณะที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ หมดกระสุนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงขนาดต้องเตรียมงัดมาตรการแจกเงินให้กับประชาชนอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป คนละ 1,500 บาท ใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเมืองรองหวังกระตุ้นเศรษฐกิจมาตรการแจกเงินกลายเป็นมาตรการเหวี่ยงแหที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจคิดได้เพียงเท่านี้ เป็นเพราะออกแรงไปมากเท่าไหร่ กำลังซื้อคนไทยก็ยังไม่กลับมาโดยเฉพาะในรัฐบาลหน้า หากยังมีพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยสั้นๆ จะไม่มีชื่อของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อยู่ในลิสต์ของรัฐบาลใหม่จึงไม่ต้องออกมุข ให้เปลืองสมอง!คอลัมน์ คนข้างนอก