ทั้งศึกนายก อบจ.เชียงใหม่เลือดไหล! ออกจากพรรคเกิดอะไรขึ้นช่วงนี้ ใน “พรรคเพื่อไทย” 2 เรื่องร้อนๆ..โดยเรื่องที่ 1 คือศึกการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (นายก อบจ.เชียงใหม่) ที่มีการหาเสียงกันอย่างดุเดือด โดยมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ขึ้นไปช่วย “แชมป์เก่า” อย่างนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ หาเสียงขย่มทั้งพรรคเพื่อไทย พาดพิงมาถึงตระกูล “ชินวัตร” รวมทั้ง “เจ๊ ด.”ทั้งที่นายบุญเลิศ คือ อดีตเครือข่ายของพรรคเพื่อไทย และใกล้ชิดมากๆ กับ “ชินวัตร”แต่เป็นที่ทราบกันว่า หลังจากรัฐประหารเมื่อปี 57 เรื่อยมา นักการเมืองท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นนายก อบจ.-นายกเทศมนตรี ถูกรัฐบาลทหารบีบหนักสารพัดรูปแบบ เพื่อให้ย้ายขั้ว ย้ายข้าง ถ้าไม่ย้ายข้างจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แถมอาจจะมีคดีทุจริตปักหลังไว้ด้วยนายบุญเลิศกับคนในครอบครัว ซึ่งเล่นทั้งการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติ ก็ถูกกดดันหนักเหมือนจังหวัดอื่น จนต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ “แรงบีบ” ทำให้พรรคเพื่อไทยตัดสินใจส่ง “ส.ว.ก๊อง” นายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร คนใกล้ชิดของ “เจ๊ ด.” ลงแข่งขันชิงเก้าอี้นายก อบจ.เชียงใหม่ แข่งกับนายบุญเลิศแหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยไม่อยากยุ่งกับการเลือกตั้งนายก อบจ. เนื่องจากผู้มีอิทธิพลสูงสุดในพรรคทั้งเบื่อและรำคาญ! ปัญหาการแย่งกันลงสมัครเป็นนายก อบจ. ในนามของพรรค เพราะแต่ละจังหวัดมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็อยากจะส่งเครือญาติ-ลูกหลานของตนลงแข่งขันต่อมามีปัญหาเกิดขึ้นที่ จ.เชียงราย เกิดรายการ “แย่งกันลง” นี่แหล่ะ ผู้มีอิทธิพลสูงสุดในพรรคจึงเฉยๆ กับการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ใครอยากลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ว่ากัน แต่ออกเงินช่วยตัวเองนะ! พรรคจะไม่สนับสนุนเรื่องเงินทุน ซึ่งเหมือนกับทุกพรรคการเมืองที่ดำเนินแนวทางนี้ คือ ลงได้ในนามของพรรค แต่เงินทุนต้องออกเอง เพราะการเลือกตั้งท้องถิ่น “สิ้นเปลือง”กว่าการเลือกตั้ง ส.ส.จะมีแค่ “เชียงใหม่” ที่เว้นไว้ในฐานที่เข้าใจกันว่า เป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของ “คนดูไบ” ดังนั้น “คนดูไบ” จึงต้องออกตัวแรง เพื่อส่งเสียงเชียร์นายชูชัย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องการ “หักหน้า” คนดูไบ!เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องหาเสียงปราศรัยโจมตีกันอย่างดุเดือด ท่ามกลางข่าวว่า “ค่าตัว” ของนักปราศรัยแต่ละคนสูงมากๆ เอาว่าพูดเรื่องเงินค่าจ้างกันเป็น “กิโล” ไม่ได้พูดกันเป็น “ล้าน”ดังนั้น แต่ละคนจึงต้องทำหน้าที่ให้สมกับบทบาท สมกับค่าเหนื่อย! เพราะถ้าครั้งนี้ชนะ ยังจะมีจ็อบต่อไปคือการเลือกตั้ง “นายกเทศมนตรี” ตามมาอีกส่วนเรื่องที่ 2 กรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายโภคิน พลกุล และนายวัฒนา เมืองสุข ประกาศลาออกจากพรรคเพื่อไทย โดยแนวโน้มว่า จะมี ส.ส.บางคนลาออกตามไปด้วย เพื่อไปตั้งพรรคใหม่ประเด็นนี้ต้องบอกว่า เป็นเรื่อง “ปกติ” ของพรรคใหญ่ และคนเยอะ แต่ที่ไม่ปกติของพรรคเพื่อไทยคือปัญหา “ขาดหัว” ขาดผู้นำพรรคตัวจริง ซึ่งพรรคเพื่อไทยยังหาไม่ได้เลย เมื่อไปทาบทามใครให้มาช่วยเป็นผู้นำพรรค มักเจอแต่ประเภทปากกล้า แต่ขาสั่น!นี่คือ ปัญหาของพรรคเพื่อไทยที่ขาดแคลน “แม่ทัพ” ดังนั้นบรรยากาศภายในพรรคดูเหมือนว่าไม่เป็นเอกภาพกัน เพราะการที่ไม่มี “แม่ทัพ” ไม่มี “ผู้ใหญ่” ในพรรคนี่แหล่ะ!ดังนั้นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในพรรค จึงเข้าใจสภาพปัญหาที่จะมี “เลือดไหล” ออกจากพรรคไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะปัจจัยทางการ “เงิน” หรือการถูกบีบด้วย “คดีความ”“ใครอยากไปไหนก็ไป คงห้ามไม่ได้ แต่ในพรรคยังมีคนเยอะ ทั้งผู้สูงอายุ และคนรุ่นใหม่ ใครจะออกจากพรรคเราจึงบังคับ หรือกราบขอร้องให้อยู่กันไม่ได้ แล้วแต่ใจของแต่ละคน ซึ่งคนที่ออกไปไม่ใช่นายทุนของพรรค โดยที่ผ่านมาหลายคนใช้เงินของพรรคเล่นการเมือง ไม่ได้ควักเงินตัวเอง ก็ลองออกไปตั้งพรรคการเมืองในฝัน ลองออกค่าเช่าออฟฟิศเอง จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ จ่ายค่าจ้างพนักงานธุรการ ค่าจ้างเจ้าหน้าที่พรรคเองดูบ้าง แล้วจะเข้าใจโลกมากขึ้น” แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทย ว่าอย่างนั้น!โดย เสือออนไลน์