วันก่อนมีโอกาสนั่งสนทนากับ “อดีต รมว.คลัง” ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเงินและการคลัง มาหลายหน่วยงาน บอกว่าสิ่งที่น่าห่วงมากในปีนี้มี 2 เรื่อง คือ ธุรกิจท่องเที่ยว และพันธบัตร-หุ้นกู้
เรื่องการท่องเที่ยวนั้น เป็นที่ทราบดีว่าต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจากต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งหลายประเทศกำลังเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับทำ “วัคซีน พาสปอร์ต” เพื่อเปิดประเทศทำมาค้าขาย และส่งเสริมการท่องเที่ยว
แต่ปัญหาประเทศไทยตอนนี้ คือ ยังมีวัคซีนเพียงแค่ 2 ยี่ห้อ ในปริมาณจำกัด ไว้เพื่อฉีดให้บุคคลากรทางการสาธารณสุขก่อน แต่ปรากฏว่าแพทย์ พยาบาล หรือแม้แต่นักเรียนแพทย์ที่กำลังจบการศึกษาในปีนี้ เซ็นชื่อว่ายังไม่ขอรับการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก
โรงพยาบาลบางแห่งมีบุคลากรทางการแพทย์ ยอมเซ็นชื่อเพื่อฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่ถึง 10% นอกจากคนไม่มั่นใจที่จะฉีดวัคซีนที่รัฐจัดหามาให้แล้ว ภายในสิ้นปี 64 คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนถึง 10 ล้านคนหรือไม่?
ถ้าการบริหารจัดการของรัฐบาลยังเป็นแบบนี้ โดยไม่กระจายการฉีดวัคซีนไปให้ครอบคลุมถึงระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สามารถฉีดวัคซีนให้ชาวบ้านได้
แต่มีคำถามตามมา คือ แพทย์จะยอมให้เจ้าหน้าที่ (พยาบาลวิชาชีพ) ใน รพ.สต. ฉีดวัคซีนให้ชาวบ้านหรือเปล่า?
เพราะถ้าการฉีดวัคซีนยังล่าช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วคงไม่อยากมาเสี่ยงที่เมืองไทย ภาคการท่องเที่ยวจะซบเซาต่อเนื่องไปอีกนานแค่ไหนไม่มีใครรู้
แต่ที่แน่ๆ บรรดาธนาคาร และสถาบันการเงินต่างๆ ออกปากว่าเขาไม่ต้องการเป็นเจ้าของโรงแรม-รีสอร์ต นะ!
อดีต รมว.คลัง ร่ายยาวต่อไปว่า คุณรู้มั๊ย? ปัจจุบัน 2 เจ้าสัวรายใหญ่ของประเทศไทยยังเหนื่อยเลย! เจ้าสัวคนแรกตอนนี้อยู่ได้เพราะ “เบียร์” ที่มีส่วนแบ่งในตลาดอยู่ 35% แต่ภาระหนักหน่วงถึงขนาดเอามือก่ายหน้าผาก คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม ที่มีอยู่จำนวนมากทั่วประเทศ และต่างประเทศ
เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวไทยเริ่มแย่มาตั้งแต่ปี 62 เพราะนักท่องเที่ยวจีนหดหายไปเกือบ 50% ตั้งแต่ช่วงนั้นแล้ว เพราะเจอผลกระทบทางจิตใจกรณีเหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวจีนล่มในทะเล จ.ภูเก็ต ประกอบกับเศรษฐกิจในจีนมีสัญญาณไม่ดีมาตั้งแต่ปี 62 ยิ่งมาเจอโควิด-19 ในปี 63-64 ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมของไทยอยู่ในอาการโคม่า
ส่วนเจ้าสัวอีกคน แม้ภาพรวมๆ จะดูดี กวาดเรียบไปหมดในประเทศนี้ แต่ธุรกิจค้าปลีกก็เหนื่อยมาก เพราะยอดขายตกไปเยอะ สินค้าเหลือคงค้างมากกว่าเก่า รวมทั้งธุรกิจโทรคมนาคมที่ทำอยู่ก็อาการหนักไม่แพ้กัน
ปัญหาของบ้านเราในปัจจุบัน คือรัฐบาลสร้างหนี้ไว้เยอะ แต่เก็บภาษีได้น้อย ในขณะที่ต่างประเทศมีหนี้สินมากก็จริง แต่เขาเก็บภาษีได้มาก และยังมีรายได้มาจากหลายช่องทาง
เช่นเดียวกันภาคเอกชนไทย มีปัญหาเรื่องหนี้สินเยอะด้วย แถมเจอปัญหาเศรษฐกิจซบเซาเรื้อรังมานาน ส่วนคนไทยมีกำลังซื้อน้อย ตรงนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่อันตราย และน่าห่วงมากๆ ถ้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นไปอย่างล่าช้า ยิ่งเปิดประเทศล่าช้าออกไปนานเท่าไหร่ ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะมากขึ้นด้วย
อดีต รมว.คลัง ตบท้ายว่า ภายในปีนี้ให้จับตาดูเรื่อง “พันธบัตร-หุ้นกู้” ที่ออกๆ กันไว้ด้วยดอกเบี้ยแพงๆ 3-5% บางแห่งดอกเบี้ยแพงกว่านี้ ถึงเวลาครบกำหนดไถ่ถอนคืนในช่วงครึ่งปี 64 เป็นมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท แต่ถ้าไม่มีเงินคืนเขา แล้วจะทำอย่างไรกัน เรื่องใหญ่นะ เพราะถ้าตรงไหนที่มีปัญหา แล้วมีข่าวออกไปนิดเดียว จะลุกลามพังไปทั้งระบบเลย!
โดย..เสือออนไลน์