ไม่น่าเชื่อว่า…ไฟสงครามกลางเมืองในเมียนมา จะมีผลลบสุดๆ ต่อการส่งออกไทยไป CLMV กลุ่มประเทศที่เป็น “ของตาย” เมื่อผสมโรงกับการส่งออกไปสิงคโปร์ ที่โดนพิษโควิด-19 เต็มๆ ที่สุด! ฉุดการส่งออกอาเซียน สวนตลาดสำคัญของโลก
พิษสง! การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ สะเทือนระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกในทุกมิติอย่างรุนแรง…
ชาติที่เคยพึ่งพิงรายได้หลักจากการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น…การส่งออก หรือการท่องเที่ยว ต่างได้รับผลกระทบเชิงลบกันไปเต็มๆ
สิงคโปร์และไทย…คือ ตัวอย่างของประเทศอาเซียนที่ได้รับผลกระทบสุดๆ จากสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับไทย…อาจดีกว่าสิงคโปร์ ตรงที่เป็นประเทศที่ใหญ่และมีพื้นที่มากกว่า สำคัญที่มีความหลากหลายด้านต่างๆ มากกว่า
มีการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการบริการที่หลากหลาย
แถมยังมี “ของตาย” ที่ยังไงๆ ก็สามารถจะส่งออกสินค้าไทย ไปขายยังกลุ่มประเทศ CMLV ประกอบด้วย…กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งถูกยกให้เป็น “กลุ่มชาติดาวรุ่ง” ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงต่อเนื่องมาหลายปี
ดันให้การส่งออกไปยังตลาดอาเซียน กลายเป็นอีกหนึ่ง “ตลาดหลัก” ของไทย แข่งกับตลาดส่งออกสำคัญๆ อย่าง…สหรัฐอเมริกา อียู จีน ออสเตรเลีย และเอเชียใต้ ได้ดีมาโดยตลอด
ทว่าผลจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน และเป็นสิงคโปร์กับไทย ที่โดนหนักสุดในอาเซียน…
พิษร้ายจากไวรัสโควิดฯว่าหนักแล้ว…ไทยยังโดนเต็มๆ “ซ้ำเติม” จากไฟสงครามกลางเมืองของเมียนมา ฉุดภาพรวมการส่งออกไปในตลาดอาเซียนลดลงแรง…จนน่าวิตก!
ล่าสุด! ในการแถลงข่าวภาพรวมเศรษฐกิจและฐานะการคลังของไทย โดยสำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 สะท้อนภาพการส่งออกของไทยไปยังตลาดอาเซียน ชนิด “สวนทาง” กับตลาดโลก
ทั้งนี้ นายวุฒิพงษ์ จิตตั้งสกุล รองโฆษก สศค. ยอมรับว่า...เหตุที่การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนลดลงมากถึงร้อยละ 11.8 ส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกในกลุ่มประเทศ ลดลงถึงร้อยละ 4.2 ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาการเมืองในประเทศเมียนมา
ทำให้สินค้าหลักที่เคยส่งไปขายในประเทศเพื่อนบ้านรายนี้ โดยเฉพาะ...น้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 12 รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค และเครื่องดื่มที่มีกว่าร้อยละ 9 ต่างได้รับผลกระทบกันไปหมด
และหากแยงลึกลงในรายละเอียดจะเห็นได้ชัดว่า..การส่งออกไปยังประเทศเมียนมาในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ติดลบมากถึงร้อยละ 29.5
เช่นเดียวกับกัมพูชาที่ติดลบร้อยละ 10.6 และติดลบมาอย่างต่อเนื่อง
จะมีก็แต่เวียดนามและลาวที่การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 และ 8.5 ตามลำดับ กระนั้น การส่งออกไปยังเมียนมา ก็ฉุดภาพรวมการส่งออกของตลาด CMLV ที่เคยเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยมาก่อน ได้อย่าน่ากังวลใจทีเดียว!
แม้รองโฆษก สศค. จะให้ความหวังว่า...เมื่อสถานการณ์ในเมียนมากลับสู่ภาวะปกติ เชื่อว่ายอดส่งออกน่าจะเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แต่หากดูสถานการณ์จริงในปัจจุบันแล้ว ดูท่าว่า “ไฟสงคราม” ในเมียนมา น่าจะปะทุ...ถึงระดับกลายเป็น “สงครามกลางเมือง” ระหว่าง...รัฐบาลทหารเมียนมา ภายใต้การนำของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กับ “รัฐบาลตั้งใหม่” ที่ได้แรงหนุนจากประชาชนชาวเมียนมา รัฐอิสระ และชาติตะวันตก อย่างแน่นอน
โอกาสจะฉุดดึงให้การส่งออกของไทยไปยังเมียนมาในเดือนมีนาคมและเดือนต่อๆ ไป ลดน้อยถอยลง...มีสูงมาก
และจะฉุดรั้งให้การส่งออกไปเมียนมา ตลอดทั้งปี 2564 นี้ แย่ลง! กระทบการส่งออกไปยังตลาด CMLV และอาเซียน อย่างไม่ต้องสงสัยแน่!
นอกจากเมียนมาแล้ว สิงคโปร์ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากปัญหาไวรัสโควิดฯ ก็มีส่วนสำคัญฉุดดึงให้การส่งออกไปตลาดอาเซียนของไทย ลดลงฮวบฮาบ!
ตัวเลขการส่งออกไปยังตลาดสิงคโปร์ที่ลดลงต่อเนื่องในระดับ “ติดลบ 2 หลัก” ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา กดทับการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน แต่ก่อนหน้านั้น...ไทยยังได้ CMLV มาช่วยลดทอนปัญหานี้
แต่สภาพการตอนนี้ การส่งออกไปสิงคโปร์ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ติดลบร้อยละ 20 เมื่อผสมโรงกับ “ไฟสงคราม” ในเมียนมา จึงทำให้การส่งออกจากไทยไปยังตลาดอาเซียน ติดลบได้มากถึงร้อยละ 11.8
ต่างไปจากตลาดส่งออกสำคัญๆ ของชาติคู่ค้าระดับโลกของไทย ไม่ว่าจะเป็นตลาดสหรัฐฯ ที่การส่งออกเติบโตได้ถึงร้อยละ 19.7 เช่นเดียวกันการส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลีย จีน และเอเชียใต้ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3, 15.7, และ 13.9 ตามลำดับ
ถึงได้บอกว่า...ไทยยังโชคดีกว่าสิงคโปร์ แต่...ก็ไม่ได้โชคดีถึงขนาดที่ระบบเศรษฐกิจจะไม่ได้รับผลกระทบทั้งจากไวรัสโควิดฯ และสงครามในประเทศเพื่อนบ้าน
หากผู้นำประเทศและผู้บริหารบ้านเมืองไทย เข้าใจในสถานการณ์นี้ ก็น่าจะปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ นำสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขในลักษณะ “พลิกวิกฤตสร้างโอกาส” โดยไม่จำเป็นต้องไปลดความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ
เพียงแต่เพิ่มสัดส่วนการค้าภายในประเทศ รวมถึงส่งเสริมให้ธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ
เน้นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง มีความมั่นคงทางการเมือง และมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในระดับที่พอจะเยียวยาเศรษฐกิจไทย ในยามที่ต้องประสบปัญหาเหมือนเช่นที่เป็นอยู่...ได้
ไม่รู้ว่า...หัวหน้ารัฐบาล และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยังเหลือสติปัญญาให้ขบคิดเรื่องเหล่านี้ได้มากแค่ไหน?
เพราะแค่...นักข่าวสาว “นั่งไขว่ห้าง” ระหว่างการแถลงข่าว สติของ “ผู้นำไทย” ก็หลุดลอยละล่องไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้?