กระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสแก่สมาชิกรัฐสภา ถูกพาดหัวในหนังสือพิมพ์รายวันประจำวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะประโยค ที่ระบุว่า “ต้องทำเต็มสติปัญญา ความสามารถ ด้วยความสุจริต และด้วยความคิดพิจารณาอันสุขุมรอบคอบ หนักแน่นด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง เที่ยงตรงตามหลักนิติธรรมและคุณธรรม”
เป็นน้ำหนักที่สื่อให้ความสำคัญยิ่ง เพราะจนถึงขณะนี้การจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าและลากยาวนานเป็นประวัติศาสตร์ หลังจากผ่านการเลือกตั้งเมือเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กินเวลาเกือบ 3 เดือน ยังไม่ลงตัว
กระแสต่อรองยังคงมีอยู่
และเป็นที่น่าประหลาดใจ ว่าการแย่งชิงนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ประจำกระทรวงเกรดเอ ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่คุมกำลังและกำข้อมูลของประชาชนเอาไว้แทบจะมีไม่มาก ไม่เหมือนการจัดตั้งรัฐบาลยุคก่อนหน้า ซึ่งหมายถึงรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการจัดการของทหาร
“กระทรวงการคลัง”..เป็นกระทรวงที่ถือได้ว่า กุมกระเป๋าเงินของชาติ มาครั้งนี้กลับไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ แทบจะยกทูนหัวทูนเกล้าให้กับพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลกันเลยทีเดียว
มีแต่เพียงข่าวปล่อยว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะเข้ามาคุมบังเหียนเศรษฐกิจเอง โดยจะขอดูแลกระทรวงการคลัง แถมยังปล่อยว่า นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะได้นั่งดูแลกระทรวงนี้ ถ้าไม่นั่งในตำแหน่งว่าการฯ ซึ่งก็น่าจะไม่ใช่ เพราะบารมียังไม่ถึง ประสบการณ์และความเขี้ยวยังมีน้อย ก็ต้องนั่งช่วยว่าการฯ เพื่อให้ฝึกปรือวิทยายุทธ์กันให้หนักก่อน เพราะนโยบายการคลังเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แถมข้าราชการประจำ รู้จักรักษาตัวรอด กฎระเบียบหยุมหยิม มีเต็มไปหมด
งานชิ้นแรก คือ การจัดทำงบประมาณประจำปี 2563 แม้ขณะนี้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้เริ่มจัดทำแผนและกำหนดกรอบไปแล้วก็ตาม งบประมาณไม่ใช่เรื่องหมูๆ กรอบวงเงิน ตัดทอนวงเงิน อภิปรายในสภา ฯ คณะกรรมการพิจารณางบประมาณวาระ 1-3 หินกันเลยทีเดียว ขนาดนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “เด็กเป่ากระหม่อม” ของนายสมคิด ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทั้งที่ไม่มีพรรคฝ่ายค้าน
กระทรวงที่ถูกแก่งแย่ง นอกเหนือจาก ”กระทรวงมหาดไทย”..ที่แน่นอน พรรคพลังประชารัฐ ย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน เพราะที่นั่นเป็นแหล่งเงินแหล่งทอง แหล่งข้อมูลมหาศาล ที่ต้องไม่ปล่อยให้หลุดลอยไป
“กระทรวงคมนาคม”..แน่นอน พลังประชารัฐต้องพยายามยื้อแย่งเอาให้ได้ โครงการรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน ต้องผลักดันต่อ โครงการท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดเฟส 3 โครงการพัฒนาตามนโยบายอีอีซี เกี่ยวข้องกับคมนาคมเกือบทั้งหมด ก็ต้องไปฟาดฟันกับพรรคภูมิใจไทย ที่หวังจะต่อยอด ถ้าหัวหน้าพรรค นายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่กังวลกับเสียงเสียดสี ติฉิน นินทา และติดตาม เพราะเป็นเจ้าของธุรกิจก่อสร้างรายใหญ่ที่มักได้งานประมูลของรัฐ อย่างยักษ์รับเหมาชิโนทัย
อีกกระทรวงที่น่าจับตามอง กลายเป็น ”กระทรวงพลังงาน”.. ที่ต้องไม่มองข้ามพรรคของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ต้องอยากแก้มือ ล้างตา หลังจากหลุดจากวงการเมือง และเด็กในคาถาถูกปรับเปลี่ยนไปจนหมดฤทธิ์ แม้จะมีเสียงน้อยท่านิ่ง แต่คนอย่างสุวัจน์ มีหรือจะ ”ปล่อยมือจากถุงเงินถุงทอง” ที่กระทรวงพลังงานที่แม้จะเป็นกระทรวงเล็ก แต่รัฐวิสาหกิจในสังกัด ทั้ง ปตท. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เงินถุงเงินถัง ตอดได้ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่ก่อนหน้ากระทรวงนี้ไม่น่าจะอยู่ในสายตาของพรรคการเมืองเท่าไหร่นัก
แต่กลายเป็นว่า งานนี้ ประชาธิปัตย์ คงต้องสู้กับนายสุวัจน์ คงต้องดูว่าน้ำน้อยจะสู้น้ำมากได้หรือไม่
หรือการแย่งชิงเก้าอี้ครั้งนี้ไม่ดุเด็ดเผ็ดมัน เพราะหลายคนคาดการณ์กันแล้วว่า “รัฐบาลชุดนี้อยู่ได้อย่างดีปลายปี ก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว”
เอาเป็นว่า ให้รอดูกันว่า การจัดทำงบประมาณปี 2563 กับแผนในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่นำโดยพรรคพลังประชารัฐ ถ้าเป็นไปตามกำหนดการที่นายวิษณุ เครืองาม เกริ่นไว้ว่าเดือนมิถุนายน น่าจะได้รัฐบาลและจัดทำนโยบายเพื่อเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร์ จะถูกใจผู้ชมได้แค่ไหน และจะแก้เกมได้ทันกับเศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วนได้อย่างไร แผนจะถูกโหวตแบบปริ่มน้ำ หรือไม่?
รออีกอึดใจ คงได้เห็นกัน..
คอลัมน์ คนข้างนอก