ยังคงร้อนปรอทแตก!
กับเรื่องของการยื้อแย่งโควตาและตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล "ประยุทธ์ 500" ที่กอปรด้วยพรรคร่วมรัฐบาลมากถึง 19 พรรค ทำให้แต่ละพรรคต้องออกแรงยื้อแย่ง และช่วงชิงโควตารัฐมนตรีกันอย่างอุตลุด!
ทำเอาประชาชนคนไทย ที่คาดหวังจะได้เห็นโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่ภายหลังการปิดประเทศปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มากว่า 5 ปีต้องเอือมระอาระทมผิดหวังไปตามๆ กัน
ลำพังเฉพาะการสรรหาและแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. 250 คน ที่ทำเสมือนเล่นละครหลอกประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้ดูมหกรรมปาหี่เลือกสรรกันเข้ามา ด้วยงบประมาณภาษีกว่า 1,300 ล้าน ก็ทำเอาประชาชนคนไทยผิดหวังเอือมระอากันพออยู่แล้ว
ยังมาเจอกับพฤติกรรม ”น้ำเน่า” ของบรรดาพรรคการเมือง และ ส.ส.ที่แสดงพฤติกรรมและธาตุแท้ของการเข้ามาเล่นการเมืองกันออกมานั้น มันยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของการปิดประเทศปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปเศรษฐกิจ หนักเข้าไปอีก!
หากอนาคตเห็นประชาชนคนไทยลุกขึ้นมาจลาจล และสาปส่งนักการเมืองน้ำเน่าเหล่านี้ มันก็คงเป็นผลพวงจากพฤติกรรมฉาวโฉ่ที่แต่ละคนแต่ละพรรคแสดงออกมานั่นล่ะ!
กับเรื่องที่จั่วหัวไว้ ซึ่งก็เป็นอีกผลงาน “อื้อฉาว” ของนักการเมืองในระดับ "หัวหน้าพรรค" ที่กำลังตีปี๊บและเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดสรรอำนาจทางการเมืองอยู่ในเวลานี้นี่แหล่ะ เป็นผลงานที่เจ้าตัวทิ้งไว้ดูต่างหน้าเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้กระโจนเข้าสู่การเมือง
เรื่องของ "มหากาพย์เงินกู้กรุงไทย 8,300 ล้าน" ที่ให้แก่บริษัทในเครือกฤษดามหานครในอดีต ที่ยังคงตามล้างตามเช็ดกันไม่สะเด็ดน้ำ จนกระทั่งวันนี้ หลายคดียังคงงอกออกมาให้ได้ระลึกถึงกันอยู่ !
แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาตั้งแต่ปลายปี 2558 ให้จำคุกอดีตกรรมการ ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตลอดจนเจ้าหน้าที่สินเชื่อ และผู้บริหารกลุ่มกฤษดามหานคร ที่เป็นลูกหนี้กันไปคนละ 12-18 ปี แล้วแต่รูปคดีโทษฐานทุจริตปล่อยกู้และสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำทุจริต โดยที่หลายคนในคดีนั้นได้ชดใช้กรรมในเรือนจำจนพ้นโทษหรือได้รับการพักโทษออกมาแล้วด้วยเงื่อนไขต่างๆ
แม้นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชั้นบรมครูทั้งหลายจะยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เหตุใดการอนุมัติเงินกู้เพื่อการ "รีไฟแนนซ์" จากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไปยังอีกธนาคาร ทั้งที่หากเป็นการรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารพาณิชย์อื่นๆ แล้ว
หากแม้นลูกหนี้จะจงใจไม่ดำเนินการชำระหนี้ให้เป็นไปตามสัญญา อย่างมากก็เป็นคดีความแพ่งที่ธนาคารผู้เสียหายต้องดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกลับมาเท่านั้น
แต่กับกรณีปล่อยกู้ครั้งนี้ ไม่เพียงจะกลายมาเป็นการทุจริตปล่อยกู้จนผู้เกี่ยวข้องต้องถูกดำเนินคดีอาญากันกราวรูด คดีนี้ยังถูกลากเข้าไปเกี่ยวโยงกลายมาเป็นคดีการเมืองที่ต้องไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอาได้
แต่เรื่องของคดีความดังกล่าวมาถึงวันนี้ทุกอย่าง คงไม่สามารถจะไปรื้อฟื้นอะไรได้อีก!
แต่สิ่งที่ผู้คนในสังคมทั้งผู้บริหาร พนักงาน และกรรมการธนาคารกรุงไทย ทั้งที่ถูกตราหน้าว่าร่วมกระทำผิดปล่อยกู้รีไฟแนนซ์ที่ดินอื้อฉาวแปลงดังกล่าว หรือที่ไม่เกี่ยวข้องต่างกังขาและไม่เข้าใจเลยก็คือ เหตุใด "จำเลย” 2 ใน 5 คนในคดีทุจริตปล่อยกู้อื้อฉาวดังกล่าว ที่เป็นกรรมการบริหาร และมีส่วนร่วมในการอนุมัติเงินกู้อื้อฉาวในครั้งนี้ให้แก่บริษัทเอกชนตามเอกสารการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ธนาคาร ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ซึ่งเดิมมีชื่อตกเป็นจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ในคดีกลับไม่ถูกพิจารณาพิพากษาหรือได้รับการลงโทษใดๆ แต่กลับถูกกันไปเป็นพยาน
แถม 1 ในสองของอดีตกรรมการธนาคารที่มีส่วนร่วมลงนามอนุมัติเงินกู้อื้อฉาว ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี ในกระทรวงเกรด A ในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ชุดที่ผ่านมานี้อีกด้วย ทั้งยังโลดแล่นในถนนการเมืองไปถึงขั้นได้รับการเชิดชูให้เป็นหัวหน้าพรรค "พลังดูด" ที่กำลังดำเนินการในทุกวิถีทางในอันที่จะสานฝันให้อดีตหัวหน้าคณะปฏิวัติได้รับการต่ออายุให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยอีกด้วย
ในขณะที่กรรมการธนาคารกรุงไทยฯ ร่วมคณะ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมในการพิจารณาอนุมัติเงินกู้อื้อฉาว ล้วนแล้วแต่ต้องคำพิพากษาจำคุก 18 ปี และยังต้องร่วมกันชดใช้ความเสียหายทางแพ่งให้กับธนาคารอีกด้วย
เห็นทีประวัติศาสตร์หน้านี้คงได้แต่จารึกไว้ดูต่างหน้าได้เท่านั้น เราคงไม่สามารถจะไปเพรียกหาความยุติธรรมได้จากที่ไหนในประเทศนี้ได้อีก!!!