ข่าวคนในครอบครัวถูกทำร้ายจนเสียชีวิต จากสมาชิกในบ้านที่ติดยาเสพติดแทบจะมีให้เห็นเป็นรายวัน ขณะที่การฉกชิงวิ่งราว ปล้น หรือแม้แต่การหลอกลวงจากแกงค์คอลเซ็นเตอร์ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน และนี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือการ “มโน” ไปเองว่าสังคมไทยเลวร้ายขึ้นทุกขณะ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ “สภาพัฒน์” ได้แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 4 และภาพรวมปี 2564 เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีตัวเลขระบุชัดเจนว่า ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยลดน้อยถอยลงจนน่าเป็นห่วง
สภาพัฒน์ให้รายละเอียดว่า ในปี 2564 มีการรับแจ้งคดีอาญารวม 523,053 คดี เพิ่มขึ้น 41.5% จากปี 2563 เป็นคดียาเสพติด 456,377 คดี เพิ่มขึ้น 46.4% สูงสุดในรอบ 8 ปี นับตั้งแต่ปี 2557 ส่วนคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์มีจำนวน 51,175 คดี เพิ่มขึ้น 18.2% และคดีเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเพศ จำนวน 15,501 คดี เพิ่มขึ้น 6%
ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศมานาน และนับวันจะปรับรูปแบบเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยขบวนการค้ายาเสพติดมีการสั่งซื้อและขนส่งที่หลากหลาย ทั้งผ่านระบบออนไลน์และแอปพลิเคชันต่างๆ และการส่งยาเสพติดผ่านบริการขนส่งเอกชน โดยปี 2564 จับกุมผู้ต้องหาในคดียาเสพติดได้ 466,510 ราย เพิ่มขึ้น 46.1% จากปี 2563 เป็นคดีเสพยาเสพติดมากที่สุด 265,311 ราย เพิ่มขึ้น 105%
สาเหตุสำคัญที่สถิติการก่ออาชญากรรมโดยรวมเพิ่มขึ้นนั้น สภาพัฒน์ชี้ว่า มาจากการระบาดของโควิด – 19 ที่มีการประกาศล็อกดาวน์ประเทศ ใช้มาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด การปิดแคมป์คนงาน การประกาศพื้นที่สีแดงเข้ม ส่งผลให้ประชาชนขาดรายได้ ตกงาน บางรายจึงหาทางออกด้วยการก่ออาชญากรรม ปล้นร้านทอง ปล้นธนาคาร ทำให้การก่ออาชญากรรมโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น
บางรายก็เกิความเครียด จนนำไปสู่การก่อเหตุใช้ความรุนแรง ซึ่งพบว่า ในปี 2564 คดีทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายเพิ่มขึ้น 8.2% จากปี 2563 และคดีพยายามฆ่าเพิ่มขึ้น 6.8%
“เมื่อครอบครัวมีเวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น บางรายเกิดความเครียดสะสม และหาทางออกด้วยการดื่มสุรา เสพยาเสพติด นำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรงในครอบครัว” รายงานของสภาพัฒน์ระบุ
ถ้าพอจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เช่น ครอบครัวหนึ่ง ลูกๆ เรียนออนไลน์ที่บ้าน เรียนไปแอบเล่นเกมไป ไม่ทำงานส่งครู ครูทวงงานกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็ไปเล่นงานลูก ขณะที่พ่อตกงานจากพิษโควิด หางานใหม่ยังไม่ได้ หันไปดื่มเหล้า สูบบุหรี่
ส่วนแม่ทำงาน Work From Home ไปก็สบถคำหยาบไป เพราะมีปัญหากับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน บรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยพลังงานลบที่วิ่งเข้าทำร้ายทุกคนในบ้านจากความเครียดที่ต่างสาดใส่ให้แก่กัน นำไปสู่ความรุนแรงในครอบครัวในที่สุด
บางคนเป็นเจ้าของกิจการเก็บสะสมเงินทองจากการทำร้านอาหารเล็กๆ จนประสบความสำเร็จ ค่อยๆ ลงทุนขยายกิจการใหญ่โตขึ้น พอเห็นว่า กิจการไปได้ดีจึงทุ่มทุนที่สะสมมาทั้งชีวิตลงไป
จากนั้นก็เจอกับสถานการณ์โควิดเล่นงาน พยายามยื้อจนถึงที่สุด เพราะค่าใช้จ่ายทั้งค่าจ้างลูกน้อง ค่าเช่าที่ ตามก้นมาติดๆให้ควักจ่ายทุกวัน ในที่สุดกิจการก็ล่มสลาย เงินทองที่สะสมมาหายเกลี้ยงในพริบตา แถมมีหนี้อีกก้อนโต ลักษณะนี้ก็เครียดหนักไปอีกแบบ และอาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมได้
สถานการณ์โลกก็วุ่นวาย คนข้างกายก็เครียด หวั่นติดโควิด ยาเสพติดก็เต็มเมือง ภาวะเช่นนี้คำว่า “มีสติ” คงเป็นสิ่งที่ต้องเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ พร้อมๆกับให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ประคับประคอง ช่วยเหลือจุนเจือกันให้ผ่านความยากลำบากไปให้ได้
ที่สำคัญทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติด ที่เป็นมะเร็งร้ายเกาะกินสังคมไทย เป็นโรคร้ายประจำถิ่นมาอย่างยาวนาน เพื่อให้สังคมมีความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สงบสุขน่าอยู่มากขึ้น
นายตือฮวน