นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยถึงตลาดสินค้าสำหรับผู้สูงวัยมีอนาคตสดใส เมื่อสังคมผู้สูงวัยเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์โลก (Global Aging Society) ในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้จากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัยทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า ในปี 2573 จะมีประชากรสูงอายุมากถึงประมาณ 1.4 พันล้านคน และจะเพิ่มเป็น 2 พันล้านคนในปี 2593
นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า ปี 2562 – 2593 ทวีปเอเชียจะมีประชากรสูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมากที่สุดในโลก โดยประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงวัยเฉลี่ยต่อประชากรทั้งประเทศในช่วงเวลาดังกล่าวเท่ากับร้อยละ 17.2 เป็นอันดับ ที่ 5 ของเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ รองจากเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเก๊า ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุในปี 2564 ประเทศไทยมีผู้สูงวัยจำนวน 13.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 20% และจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อย่างสมบูรณ์ในปี 2565 โดยคาดการณ์ว่าในปี 2583 สัดส่วนประชากรสูงวัยจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 31.3 ของประชากรทั้งประเทศ
สินค้าและบริการผู้สูงวัย โอกาสที่น่าสนใจและน่าจับตามอง
ผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงวัยนับเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง มีความต้องการสินค้าและบริการครอบคลุมในหลายกลุ่ม และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการวิเคราะห์การเพิ่มขึ้นของจำนวนจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ของธุจกิจดูแลผู้สูงอายุ ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 ขยายตัว 48.6% ส่วนในปี 2563 ที่แม้จะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 จำนวนการจดทะเบียนเพิ่มยังคงขยายตัวที่ 3.5% และในปี 2564 (ม.ค. - มี.ค.) ขยายตัว 79.3% ปัจจัยหลักที่กลุ่มผู้สูงวัยต้องการคือ การให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม ให้ความสำคัญกับโภชนาการ และมีความสนใจใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ดังนั้นสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ จึงต้องมีความพิเศษและแตกต่าง
กลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่
1. สินค้าอัจฉริยะ (Smart products) ที่ตอบโจทย์ของผู้สูงวัย ทั้งทางด้านการใช้งานและมีภาพลักษณ์สวยงาม เช่น บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ที่สั่งการด้วยเสียง (Voice Control) รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Self-driving car) หุ่นยนต์อัจฉริยะ
2. อุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ดูแลผู้สูงอายุ มูลค่าการส่งออกที่ไทยส่งออกไปตลาดโลก ระหว่างปี 2562 – 2564 ขยายตัวต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 0.7% 5.4% และ 18.1% ตามลำดับ สะท้อนถึงความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ สนค. ประเมินว่าในปี 2565 การส่งออกเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ จะเติบโตสูงถึง 19.2% สร้างรายได้เข้าประเทศมากกว่า 32,000 ล้านบาท
3. ธุรกิจบริการทางการแพทย์และบริการสุขภาพ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการดูแลผู้สูงอายุอย่างครบวงจร อาทิ ธุรกิจ Digital Healthcare ธุรกิจ Medical Information Technology (medi-tech) ธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใหม่สำหรับประเทศไทยแต่นับเป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มและจะเติบโตสูงในอนาคต รองรับการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาคของไทย
4. ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) ตลาดธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลกที่เพิ่มขึ้นจาก 2.4 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2543 เป็น 11 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2560 คิดเป็นขยายตัว 358% ซึ่งปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการที่ประชากรโลกมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น โดยไทยเป็นประเทศอันดับที่ 5 ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางและใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากที่สุด รองจากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ตุรกี และเบลเยียม แม้ว่าสถานการณ์โควิดจะทำให้ธุรกิจนี้หยุดชะงัก แต่แนวโน้มของสถานการณ์ที่รุนแรงน้อยลง คาดว่า ธุรกิจจะกลับมาฟื้นตัวและไทยจะเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของต่างชาติอีกครั้ง
5. สินค้าอื่นๆ ได้แก่ เทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการสื่อสารที่เชื่อมต่อการสื่อสารของผู้สูงวัย สินค้าไลฟ์สไตล์ อุปกรณ์ตกแต่งภายในอาคาร อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สินค้าเพื่อความงามเฉพาะด้าน เป็นต้น ซึ่งหากมีนวัตกรรมในการพัฒนาสินค้าทั้งด้านการใช้งานที่สะดวก ปลอดภัย เพิ่มคุณภาพชีวิต และรูปลักษณ์สวยงาม ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงวัย จะเป็นโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สินค้าสำหรับผู้สูงวัยของไทยที่มีศักยภาพในตลาดต่างประเทศ ได้แก่
1. อุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ดูแลผู้สูงอายุ ได้แก่ รถเข็น ฟันปลอม เครื่องช่วยฟัง ข้อต่อเทียม โดยในปี 2564 ไทยส่งออกไปยังตลาดโลกมูลค่า 18.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 34.4 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดคู่ค้าสำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ฮ่องกง ไต้หวัน ลาว เมียนมา
2. สินค้าสุขภัณฑ์และสุขอนามัย ปี 2564 ไทยส่งออกมูลค่า 0.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 65.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สินค้าที่สำคัญ ได้แก่ เก้าอี้นั่งสุขา ภาชนะรองรับการขับถ่ายบนเตียง ตลาดคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนค์ กัมพูชา และเมียนมา
นอกจากนี้สินค้านวัตกรรม ที่แม้ว่าในปัจจุบันมูลค่าการส่งออกจะยังไม่สูงมาก แต่มีแนวโน้มดีในอนาคต อาทิ ห้องน้ำพกพา ที่ใช้นวัตกรรม liquiddrop ตลาดส่งออก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง
3. อาหารเสริม ปี 2564 สินค้าในกลุ่มนี้ส่งออกไปยังตลาดโลกมูลค่า 3 แสนดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 65.6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีตลาดคู่ค้าสำคัญ คือ ออสเตรเลีย บรูไน บาห์เรน แอลจีเรีย และบังคลาเทศ
นายรณรงค์ กล่าวปิดท้ายว่า จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดสินค้าผู้สูงวัย ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ให้ต่อยอดจากธุรกิจการรักษาพยาบาล และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ประเทศไทยมีฐานเดิมที่แข็งแรงอยู่แล้ว ไปสู่การยกระดับการให้บริการคุณภาพสูง และการผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ ตลอดจนอุปกรณ์ดูแลผู้สูงอายุ