แทบไม่น่าเชื่อว่า ปรากฏการณ์ ”แตงโม” พลัดตกเรือเสียชีวิตกลางลำน้ำเจ้าพระยา จะจุดกระแสความสนใจของผู้คนในสังคมไทยได้มากมาย ขณะเดียวกันทำให้ธุรกิจในวงการสื่อคึกคัก สร้างเม็ดเงินจากโฆษณา จนทำให้เกิดการแข่งขันอย่างน่าตื่นตะลึง
กรณี "แตงโม" นิดา พัชรวีระพงษ์ ดาราสาว พลัดตกจากเรือสปีดโบ๊ทเสียชีวิตกลางลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2565 กลายเป็น "ท็อปออฟเดอะทาวน์" กลบกระแสข่าวอื่นๆ ลงอย่างราบคาบ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง ว่าด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยุบสภา หรือวิกฤตเศรษฐกิจ ราคาพลังงานพุ่งกระฉูดจากสงครามในยูเครน
ที่สำคัญและแทบไม่น่าเชื่อว่า ข่าว "แตงโม" จะได้รับความสนใจข้ามประเทศในย่านเอเชีย ถึงจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ต่างและสนใจ อยากรู้ว่า "แตงโม" เสียชีวิตจาก อุบัติเหตุหรือฆาตกรรม
เบื้องต้นจากผลตรวจนิติเวช รพ.ตำรวจ อย่างไม่เป็นทางการ ระบุว่า ขาดอากาศหายใจ และสำลักน้ำจนเสียชีวิต พบทรายในปอด นอกจากนี้ยังพบดินและโคลนในกระเพาะอาหาร ตามลำตัวพบบาดแผลเฉพาะช่วงล่างเท่านั้น โดยมีบาดแผลที่ต้นขาซ้าย และขาซ้ายด้านใน เกิดจากของมีคมซึ่งยังไม่สามารถระบุชนิดของมีคมได้ ต้องรอผลพิสูจน์จากแลป
อย่างไรก็ตาม ผลสรุปของนิติเวชที่ออกมาในชั้นต้นนี้ ขัดกับ ไทด์ - เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู บุคคลแรกที่พบศพ "แตงโม" เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2565 หลังจมดิ่งน้ำสูญหายไป 2 วัน "ไทด์" บอกว่า แตงโม มีรอยช้ำที่ดวงตาบวมปูดไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ผิดปกติจากคนจมน้ำเสียชีวิตทั่วไป และฟันหัก 1 ซี่
กรณีดังกล่าว ยิ่งจุดกระแสความอยากรู้ อยากเห็นของสังคมมากยิ่งขึ้น!! และกลายเป็นชนวนให้เกิดม็อบเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวชูป้ายหน้าสถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี เรียกร้องความยุติธรรมต่อ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 1 ไม่ให้ "แตงโม" ตายฟรี เพราะไม่เชื่อว่า ดาราวสาวพลัดตกน้ำจากกรณีลุกไปปัสสาวะ (ฉี่) ที่ท้ายเรือ
"ทำไมประชาชนเกือบทั้งประเทศจึงสนใจดาราสาว คุณแตงโม วัยเกือบ 40 ปีที่เสียชีวิตแบบมีเงื่อนงำ หากตอบว่า สื่อต่างๆ นำมาเล่นเอง คงไม่ใช่ไปทั้งหมด เพราะหากชาวบ้านไม่สนใจ เรตติ้งก็ไม่ขึ้นสปอนเซอร์ หรือเงินโฆษณาก็จะไม่เข้า พวกสื่อต่างๆ เขาก็คงไม่นำมาเป็นข่าวแบบยาวๆ" เป็นความเห็นจาก ธนิต โสรัตน์ ในฐานะรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่คลุกคลีตีโมงจนคร่ำหวอด มองเห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังวงการสื่อเมืองไทย ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
จากข้อมูลของบริษัทวิจัยชั้นนำแห่งหนึ่ง ระบุว่า ช่วงรายการข่าวที่ผ่านมาเรตติ้งของ TV แต่ละช่องพุ่งสูงสุด ยอดผู้ดูผ่านออนไลน์จากที่เคยอยู่ในระดับเฉลี่ย 3-4 แสนวิว/คลิป จากก่อนหน้าอยู่ที่ 1.3 แสนวิว/คลิป หรือเพิ่มขึ้นถึง 2.69 เท่า
ขณะที่รายการดังอย่าง “โหนกระแส” ที่มี "หนุ่ม" กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นพิธีกร ปรากฏว่า เรตติ้งพุ่งกระฉูด บางวันพุ่งถึงระดับสูงสุด 6.3 ล้านวิว/คลิป หรือสูงขึ้นถึง 5.72 เท่า จากปกติทั่วไป แม้แต่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังต้องออกมากำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานสอบสวน เร่งรัดคดีการเสียชีวิตของ "แตงโม" โดยเร่งสืบสวนทุกข้อสงสัยอย่างรอบคอบตามหลักวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญต้องโปร่งใสด้วยกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
เรียกได้ว่า บุคคลใกล้ชิดรอบตัว "แตงโม" ถูกสังคมจับตาหมด ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมไหน ทั้งบวกหรือทั้งลบ โดยเฉพาะ ภนิดา ศิริยุทธโยธิน หรือ "แม่แตงโม" กลายเป็นเป้าใหญ่ที่สังคมจับตามอง จากกระแสข่าว เรียกร้องค่าชีวิตของลูกสาว 30 ล้าน จาก หนุ่มไฮโซ ปอ ดนุภัทร เลิศทวีวิทย์ เจ้าของเรือสปีดโบ๊ท
รวมถึงอีก4 คนที่อยู่บนเรือ หลัง "แตงโม" พลัดตกเรือไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กระติก" อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ เพื่อนสนิทและผู้จัดการส่วนตัวของ "แตงโม" ซึ่งถูกโลกโซเชียลตั้งข้อกล่าวหาในทางลบ หลังจากถูกจ้องจับผิดหลายเรื่องราว ในกรณีที่เกิดขึ้น
ดังนั้น มีคำถามหลากหลายมากมาย ตามมา เพราะหลัง จนท.ตำรวจ สอบปากคำ บุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดหลายสิบปาก แต่จนป่านนี้ พนง.สอบสวน ยังไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณชน ให้หายข้องใจว่า “ปริศนา” ที่สังคมคาใจ ข้อเท็จจริง เป็นอย่างไร ?? หลายฝ่ายเกรงว่า คดีนี้จะมีเลศนัยหรือไม่ !!!
ปรากฏการณ์ กระแส "แตงโม" ยังมีความเห็น "หมอโอ๋" นพ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น รพ.รามาธิบดี ระบุว่า …มาถึงวันนี้ ความคืบหน้าคดีแตงโมยังคงเกิดขึ้นรายวัน ในหลายแง่มุม ขณะเดียวกันคดีนี้เป็นอีกเครื่องย้ำเตือน ถึงความสัมพันธ์ ของเพื่อน ครอบครัว การทำงานหน้าที่ของสื่อ และอิทธิพลของโลกโซเซียล แต่อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ร่วมกันที่สำคัญ คือ
วิธีคิดแบบต้อง “หาคนผิด” มาลงโทษ เป็นวิธีคิดที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ทำให้หลายครั้ง เราตั้ง “ศาลเตี้ย” ขึ้นมาแบบที่เราเข้าใจไปว่า มันคือสิ่งที่ถูกต้อง ตราบใดที่ยังไม่มีข้อสรุปทางกฎหมาย เราไม่ควรชี้นำ หรือสรุปว่า ใครเป็นผู้กระทำผิด เพราะสิ่งเหล่านี้ จะสร้างตราบาปให้กับชีวิตของคนบางคน มากเกินไปกว่าสิ่งที่เขาควรจะได้รับ
การสื่อสารที่แค่การต้องหาคนผิดมาลงโทษ อาจทำให้เราหลงลืม สื่อสารประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น คนที่พูดหรือทำบางอย่างที่เราไม่ถูกใจ ไม่ได้แปลไปว่า เขาจะต้องเป็นคนที่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนพูดดี ทำไม่ดี มีเยอะแยะ เราควรแยกประเด็น ที่เราจะได้แสดงความเห็นแบบไม่เหมารวม สื่อควรมีจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าว สื่อมีหน้าที่ต้องให้ความยุติธรรมกับผู้เสียชีวิต รวมไปถึงการให้ความยุติธรรมกับ “ผู้ยังมีชีวิต” อยู่
การขายข่าวอย่างบ้าคลั่ง นำทุกเรื่องราวมาสร้างประเด็นดราม่า ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ เช่น การนำความเห็นของคนที่ติดต่อกับวิญญาณ มาเล่าว่าวิญญาณทุกข์ทรมานแค่ไหน ควรนึกถึง “ใจ” ของครอบครัวที่เป็น “ผู้สูญเสีย” ในยุคที่ใครก็มีสื่อในมือ ใครก็แสดงความเห็นอย่างไรก็ได้ “สื่อน้ำดี” จะมีหน้าที่เลือกนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ด้วยหัวใจที่เข้าใจความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
สิ่งที่เราแชร์กันในโลกออนไลน์ ข้อมูลส่วนใหญ่ คือ “ความคิดเห็น” ข้อคิดเห็นเหล่านั้น หลายครั้งมันมาจาก “อารมณ์ร่วม” ไม่ใช่ผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ไม่ใช่ความคิดเห็นจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ การเข้าใจหัวใจคนอื่นในโลกออนไลน์ เป็นสิ่งที่สังคมควรช่วยกันสร้าง เราทำร้ายเหยื่ออย่างบอบช้ำ แล้วสะบัดก้นไปรุมเหยื่อรายใหม่ จนกลายเป็นความธรรมดาของสังคมจนน่ากลัว
เรื่องราวของ "แตงโม" จะเดินหน้าไปต่อ และจบอย่างไร ยังคาดเดาไม่ถูก...แต่สักวันหนึ่ง ก็ต้องจบลง และจะเป็นบทเรียนให้ สังคมไทยไตร่ตรองกันอย่างเข้มข้นอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในวงการสื่อของไทยจักต้องทบทวนบทบาทที่ผ่านมาอย่างไร?