เป็นอันว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังคงตัดสินใจกระเตงและอุ้มสม "นายอุตตม สาวนายน" หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีตกรรมการธนาคารกรุงไทยชุดอื้อฉาว ที่มีส่วนร่วมพิจารณาปล่อยกู้รีไฟแนนซ์ที่ดินแปลงใหญ่ให้แก่บริษัทในเครือกฤษดามหานคร (KMC) เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรี "ประยุทธ์-2" ท่ามกลางกระแสวิพากษ์รอบด้าน
ในเมื่อนายกรัฐมนตรีเองเคยป่าวประกาศ รัฐบาลนี้จะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกรูปแบบ และจะไม่ยอมให้คนโกงมีที่ยืนในสังคม!
แต่เมื่อนายกฯ ตัดสินใจกระโจนเข้าสู่สนามการเมืองเต็มตัวลงไปเกลือกกลั้วและดึงนักการเมืองที่ตนเองเคยขยะแขยงเข้ามาเป็นลิ่วล้อบริวาร จึงไม่แปลกใจที่เหตุใดวันนี้หลักการที่เขาเคยยึดมั่นถึงเปลี่ยนไป
ในส่วนของมหากาพย์ปล่อยเงินกู้กรุงไทยที่ให้แก่บริษัท ในเครือกฤษดามหานคร (KMC) ที่หลายฝ่ายยังคง "กังขา"..
เหตุใดการปล่อยกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้จากธนาคารกรุงเทพ ไปยังธนาคารกรุงไทย จึงถูกลากเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้
ทั้งๆ ที่ “คดีนี้เป็นเพียงการปล่อยกู้รีไฟแนนซ์ปกติ” เท่านั้น
เพราะแม้แต่คำพิพากษาของศาลฎีกาเอง ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า จำเลยที่อ้างว่าเป็น ”บิ๊กบอส” ที่เป็นตัวการและสั่งการให้บอร์ดและฝ่ายบริหารกรุงไทยปล่อยรีไฟแนนซ์ให้แก่ลูกหนี้รายสำคัญดังกล่าวเป็นใครกัน?
เพราะแม้แต่ "หม่อมอุ๋ย - ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นผู้สั่งให้แบงก์ชาติดำเนินคดีกับบอร์ดและฝ่ายบริหารกรุงไทย ก็ยังไม่มีการพาดพิงไปถึงเขาผู้นี้
แต่ตัวละครแห่งมหากาพย์ปล่อยกู้กรุงไทยอื้อฉาวในครั้งนี้ที่ต้องจารึกไว้ แต่ละคนเข้ามาเกี่ยวข้องและ "สมประโยชน์" จากการลากคดีปล่อยกู้อื้อฉาวครั้งนี้อย่างไร หนึ่งในจำเลยผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของมหากาพย์ได้ร่ายยาวถึงตัวละครแต่ละคนดังนี้ :
ปริศนา 2 บอร์ดกรุงไทยรอดคดี?
บอร์ดกรุงไทย 2 คน (นายอุตตม สาวนายน และนายณรงค์ชัย อินทรมีทรัพย์) รอดมาได้โดยไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ในขณะที่บอร์ดรายอื่นๆ ต่างถูกดำเนินคดีและถูกจำคุกยกกระบิ
ทั้งนี้เหตุที่บอร์ดทั้งสองรายรอดคดีมาได้นั้น แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เพราะ 1 ในบอร์ดกรุงไทยรายดังกล่าวให้การซัดทอดว่าจำเลยที่ 1 (ในคำฟ้องของ ป.ป.ช.) เป็นผู้สั่งการให้ปล่อยเงินกู้รีไฟแนนซ์ครั้งนี้ จนเป็นที่มาที่ทำให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นำสำนวนที่แบงก์ชาติชงเรื่องเอาไว้ไปขยายผลต่อ
"มีการขยายผลต่อ จากคำให้การของ 2 บอร์ดกรุงไทยที่อ้างว่ามีใบสั่งจาก "บอส" ใหญ่ สั่งให้กรุงไทยต้องอนุมัติเงินกู้ก้อนนี้ แม้ตนเองจะทักท้วงว่า เป็นสินเชื่อที่ไม่มีความเหมาะสม ไม่อยู่ในวิสัยที่จะปล่อยกู้ให้ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะทัดทานได้ จึงทำให้ท้ายที่สุดคดีนี้ถูกลากไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง"
อย่างไรก็ตาม ในคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ที่ออกมานั้น กลับระบุว่า "ไม่สามารถบอกได้ว่าจำเลยที่หนึ่งหรือบิ๊กบอสที่ว่านั้นคือนายทักษิณ ชินวัตร เนื่องพยาน (ชัยณรงค์ และ อุตตม) อ้างว่าเพียงแต่ได้ยินมาและเข้าใจไปเองเท่านั้น"
จึงทำให้ไม่มีใครในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็น "นักการเมือง" แม้แต่คนเดียว!
แล้วคดีนี้ถูกลากไปขึ้นศาลฎีกาฯ ที่ใช้ระบบไต่สวนแบบม้วนเดียวจบ ไม่เปิดโอกาสให้จำเลยได้ต่อสู้หรือนำเอกสารหลักฐานเข้าต่อสู้ได้อย่างไร
"จำเลยทั้งหมดในคดีควรได้รับโอกาสต่อสู้คดี 3 ศาล ตามสิทธิทั่วไปของ ประชาชนคนไทยทุกคนหรือไม่ แต่คดีนี้กลับถูกลากไปยังศาลฎีกาฯ และถูกตัดสินด้วยศาลเดียวแบบม้วนเดียวจบ จำเลยในคดีที่เดินทางไปฟังคำพิพากษา ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนเลยว่า คดีพิจารณาปล่อยเงินกู้รีไฟแนนซ์ธรรมดา จะจบลงด้วยคำพิพากษาให้จำคุกคนละ 12-18ปี โดยไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์หรือต่อสู้ใดๆ"
ยกเว้น 2 บอร์ดกรุงไทยที่ให้การในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช. ว่า จำเป็นต้องปล่อยกู้ สินเชื่อให้แก่บริษัทในเครือ KMC ครั้งนี้เพราะใบสั่งจากบิ๊กบอสที่ตนเข้าใจว่าคือนายทักษิณ
จุดจบหัวหน้าผู้พิพากษาคดีประวัติศาสตร์
ในส่วนหัวหน้าคณะผู้พิพากษาในคดีปล่อยเงินกู้กรุงไทยในอดีต คือ “ศิริชัย วัฒนโยธิน” นั้นเส้นทางชีวิตของอดีตประธานศาลอุธรณ์ผู้นี้ หลังจากตัดสินชี้ขาดคดีนี้เมื่อปลายปี 2558 เป็นอย่างไร ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดี
ด้วยความที่เขาเป็นบุคคลิกส่วนตัวและแนวคิดที่ต่างจากคนอื่น ตัดสินคดีความอย่างชนิดที่วงการยุติธรรมด้วยกันเองยัง "ส่ายหน้า"
จึงเป็นเหตุให้เมื่อครั้งที่เจ้าตัวถูกเสนอชื่อให้เป็นประธานศาลฎีกา เพราะเป็นผู้ที่มีอาวุโสมากที่สุดในเวลานั้น แต่กลับถูกคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ลงมติเป็นเอกฉันท์ 14 ต่อ 0 "หักดิบ" ไม่เห็นชอบให้ขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาด้วยเหตุผลของทัศนคติบางประการ จึงทำให้เจ้าตัวแสดงออกถึงอาการผิดหวังอย่างรุนแรง จนต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2560 สิ้นสุดเส้นทางในกระบวนการยุติธรรม
"ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะมีธงทางการเมือง เอาไว้แล้วในคดีนี้ เพื่อต้องการให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และลูกชาย มีคดีให้หนักและมากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อไม่ให้กลับเข้ามาในวงจรการเมืองได้อีก"
ใคร "ชุบมือเปิบ" จากคดีกรุงไทย?
หากทุกจะได้ย้อนรอยกลับไปพิจารณาให้ถึงปลายทางแห่งคดีความกรุงไทย จะพบว่า ที่สุดของคดีประวัติศาสตร์นี้ทำให้มีผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากการยิงปืนนัดเดียวในครั้งนี้ ดังนี้:
1. หม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเวลานั้น เขาได้ถอนแค้นคู่ปรับ นายวิโรจน์ นวลแข อดีตผู้บริหาร ธ.กรุงไทย ในเวลานั้น และสามารถผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ของรัฐต้องไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท.
เหตุใด ธปท.ต้องแจ้งความดำเนินคดีอาญาบอร์ดและฝ่ายบริหารธนาคารกรุงไทยด้วย?
ทั้งๆ ที่เคสลูกค้ารายอื่นๆ ของ ธนาคารอื่น ที่หลักประกันด้อยค่า หรือคลีนโลน ธปท.ได้แจ้งความดำเนินคดีเเบบเดียวกันหรือไม่? เป็นการเลือกปฏิบัติที่เข้าข่ายมาตรา 157 หรือไม่?
2. การเมือง เหลือง-แดง ตุลาการภิวัฒน์ ได้เห็นอดีตนายกฯ นายทักษิณ ชินวัตร ถูกดำเนินคดี แถมยังพ่วงกล่องดวงใจ คือลูกชาย (นายพานทองแท้) มาด้วยอีกในภายหลัง
3. นายทุนเสื้อเหลือง และนายทุน คสช. ได้ที่ดินทำเลทอง 4,300 กว่าไร่ แปลงสุดท้ายใกล้สุวรรณภูมิ (ประตูสู่ EEC) ในราคา ตร.ว.ละ 5,000 บาท หรือไร่ละ 2 ล้านบาทเท่านั้น
ทั้งที่ที่ดินผืนนี้ เมื่อครั้งนำมาจำนองเป็นหลักประกันหนี้กับกรุงไทยเมื่อปี 2543-2544 นั้น มีการประเมินโดยบริษัทที่ปรึกษาถึง 2 รายที่ธนาคารว่าจ้างเข้ามาประเมินต่างก็ยืนยันมีราคาประเมินไร่ละกว่า 2-5 ล้านบาทอยู่แล้ว และระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 20 ปีนั้น ราคาที่ดินหลักประกันแทนจะมีราคาค่างวดขยับขึ้นไปเป็นไร่ละ 15-20 ล้านเฉกเช่นที่ดินข้างเคียงแปลงอื่นๆ ตามความเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับมีราคาดิ่งเหวสวนทิศทางความเจริญเศรษฐกิจ
4. เหนือสิ่งอื่นใด การประมูลขายทอดตลาดที่ดินทำเลทองผืนสุดท้ายในทำเลทองสุวรรณภูมิ และเป็นประตูสู่อีอีซี ที่มีกลุ่มทุนเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เข้าประมูลเพียงรายเดียวแบบ "ม้วนเดียวจบ" นั้น
จาก "ซูเปอร์ดีล" พิเศษของการโละทำเลทองที่ดินแปลงนี้ ทำให้พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำหลักของรัฐบาล พปชร. และแกนนำสำคัญของรัฐบาล ทั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และโดยเฉพาะนายอุตตม สาวนายน ได้รับการปูนบำเหน็จทั้งเงินทั้งกล่อง ได้หวนกลับมากำกับดูแลกระทรวงการคลังและกลบเรื่องที่ยังคงหลงเหลืออยู่ข้างหลัง เพื่อที่จะไม่ให้มีใคร หรือองค์กรใดฟื้นฝอยหาตะเข็บได้อีกหรือไม่!!!