ทักษิณกลับบ้าน! ใครบอก...ไม่เกี่ยวกับการเมือง? การผสมพันธุ์ ข้ามขั้ว...เปลี่ยนข้าง จัดตั้งรัฐบาลใหม่ ถีบก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ที่สุด! ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง จะวางตัวอย่างไรในสถานการณ์นี้ มากกว่านั้น...ชะตากรรมการเมืองไทย! จะส่งผลต่อบ้านเมืองไทยกันอย่าง?
…
การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์! วลีนี้ไม่ไกลเกินจริงมากนัก...ยิ่งได้เห็นการเมืองในประเทศไทย ยิ่งชัดเจนว่า...สิ่งนี้ ล้วนใกล้เคียงความเป็นจริงข้างต้นอย่างที่สุด!
หากพรรคการเมืองและนักการเมือง ยึดโยงวลีข้างต้นมากเท่าใด? ความศรัทธาต่อระบบประชาธิปไตย และต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ก็ยิ่งจะเข้าใกล้ความเป็น “เฟคนิวส์” มากเท่านั้น ดังนั้น คำพูดและการกระทำของพรรคการเมืองและนักการเมือง จึงเป็นไปในลักษณะ... โป้ปดมดเท็จ หลอกลวง ไม่จริงใจ พูดเอาแต่ได้ ฯลฯ สารพัด...
การประกาศกลับบ้านของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่เจ้าตัวพูดเอง และพูดผ่าน “อุ๊งอิ๊ง” แพรทองธาร ชินวัตร ย่อมทำให้การเมืองไทยร้อนฉ่า!
ท่ามกลางสถานการณ์ที่พรรคการเมืองเสียงข้างมาก ไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้...ขึ้นมาทันที!!!
ภาพที่เห็นเรื่องของคดีเก่าของอดีตนายกฯ ทักษิณ ดูจะไม่ใช่ประเด็นหลัก สำหรับการกลับบ้านครั้งนี้ของอดีตนายกฯ คนที่ 23 เพราะหากลองมองย้อนกลับไปดู ไม่ว่าจะเป็น...
คดีที่ให้ “นอมินี” ถือหุ้นใน บมจ. ชินคอร์ปอเรชัน และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษารวมโทษจำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว หรือหวยบนดิน ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
และคดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลเมียนมา ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา
ทั้ง 3 คดี...ยังไม่หมดอายุความและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น...สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม.) กระทวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) และหน่วยงานอื่นๆ ต่างก็เตรียมการรับมือกับการกลับมาของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ในวันที่ 8 ส.ค.2566 กันแล้ว
ใครจะมองว่า...การกลับไทยของอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่เกี่ยวกับการเมืองไทย! โดยเฉพาะการข้ามขั้ว...เปลี่ยนข้าง เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ถึงมี...คงก็จะน้อยมาก!!??
ทว่า ส่วนน้อยที่ว่านี้ ดันเป็นทั้ง...ลูกสาวคนเล็ก หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย นั่นคือ อุ๊งอิ๊ง-“แพรทองธาร”
ดังนั้น เมนหลักของการเมืองไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงถูกโฟกัสไปที่ “การจัดตั้งรัฐบาล” ในแบบที่พรรคการเมืองและนักการเมืองบางกลุ่ม? ไม่สนใจเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน และไม่สนใจว่า...ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา ภายหลังจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีพรรคอันดับหนึ่ง คือ พรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล ร่วมอยู่ในนั้น...จะเป็นเช่นใด
หากยังจำกันได้ วลี...ดีลลับ! ในทางการเมืองนั้น ได้มีการพูดถึงกันมานานแล้ว นับแต่ ก่อนวันเลือกตั้งใหญ่ 14 พ.ค.2560 ก็มีการแพลมๆ ให้ได้ยิน และ ภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น รู้แน่ชัดว่า...พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมากสุดเป็นอันดับ 1 ทั้งในซีกของ ส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมกัน 152 เสียง (แม้ในภายหลังจำนวน ส.ส.ของพรรคก้าวไกล จะลดหายกันไปบ้าง)
ทว่า...ยอดรวม สส. ทั้ง 2 ระบบ ของพรรคแห่งนี้ ก็ยังมีมากสุด!
ความชอบธรรมในการจะเป็น “แกนหลัก” จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ของพรรคก้าวไกล จึงมีมากสุด! และเป็นไปตามมติเสียงข้างมากของประชาชนคนไทยกว่า 14 ล้านเสียงที่เลือกกันมา และรวมเป็นกว่า 27 ล้านเสียง เมื่อรวมทั้ง 8 พรรคฝั่งประชาธิปไตย ที่มีเสียงของ พรรคเพื่อไทย (อันดับ 2) กว่า 10 ล้านเสียง รวมอยู่ในนั้นด้วย
การประกาศจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ของ 8 พรรคการเมือง รวม 313 เสียง ภายใต้การทำเอ็มโอยู เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 22 พ.ค.2566 หรือ 8 วันนับจากวันเลือกตั้งฯ ณ โรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ อาจไม่ใช่พันธะสัญญาทางกฎหมายที่จะบังคับให้ทุกพรรคการเมืองต้องปฏิบัติตาม
แต่เพราะสิ่งนี้...คือ สัญญาประชาคม ซึ่งเป็นไปตามฉันทามติเสียงข้างมากของคนไทย ที่ต้องการจะเห็นและสัมผัสได้ถึง...สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง และกลิ่นความเจริญของชาติบ้านเมือง ก็ไม่ควรที่จะมีพรรคการเมืองใด ฉีกทิ้งเอ็มโอยูที่ว่านี้
กระนั้น เบื้องหลังการเซ็นเอ็มโอยู ที่แกนนำของบางพรรคการเมืองแสดงออกมา ทำให้บางคนของ 1 ใน 8 พรรค ต้องย้ายตัวเองไปนั่งในฝั่งของกองทัพสื่อมวลชน ก่อนจะป้อนคำถามแทงใจดำกับแกนนำพรรคที่ว่านี้ โดยเฉพาะการขยายผลในประเด็น “เอ็มโอยู แอ็ดวานซ์” ที่แปลความได้ว่า...หากตั้งรัฐบาลไม่ได้ ทั้ง 8 พรรคจะต้องผนึกและจับมือกันไปเป็นฝ่านค้านเสียงข้างมากต่อไป...
และสิ่งนี้เอง ได้นำมาซึ่งวลี “ถ้าชกได้ผมชกไปแล้ว” จาก...แกนนำพรรคใหญ่รายนั้น
ประมวลทุกภาพในทุกช่วงเวลา นับแต่ก่อนวันเลือกตั้งใหญ่ มาจนถึงวันที่ “อุ๊งอิ๊ง” และอดีตนายกฯ ทักษิณ ประกาศจะกลับเมืองไทย และวันหลังๆ ต่อจากนั้น...
สรุปได้ว่า...ดีลลับมีอยู่จริง! และมันกำลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ดีลลับ ที่ว่า...สัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง “คอการเมือง” ทั้งซีก...นักการเมืองนัก นักวิชาการ สื่อมวลชน และคนไทยที่สนใจเรื่องของการเมือง ต่างอดคิดไม่ได้ว่า...ดีลที่ว่านี้ ไม่ต่างจากภารกิจสำคัญในการนำอดีตนายกฯ คนที่ 23 กลับไทย แบบปลอดภัยที่สุด!
มากกว่านั้น...ดีลลับนี้ ไม่สนใจกระแสสังคมและเสียงของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยกว่า 27 ล้านเสียง ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย ทั้งในมติของสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง และกลิ่นความเจริญของชาติบ้านเมือง
ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า...ประเด็นการเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ที่สุด...ปลายทางของเรื่อง ย่อมไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้น! อย่างแรก...เป็นเพียงความต้องการของพรรคก้าวไกล และการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะได้รับการบรรจุหรือไม่? หากได้รับการบรรจุเป็นวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่ ทั้งในซีกของ 8 พรรคการเมืองและฝ่ายค้าน..จะยกมือให้หรือเปล่า?
แค่เรื่องนี้...ก็ยากเย็นแสนเข็ญกันแล้ว
ถึงจะผ่านกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎร ก็ยังจะมีขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งแน่นอนว่า ทั้ง 250 สว. คงไม่มีใครยกมือสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามที่พรรคก้าวไกลเสนอมาอย่างแน่นอน นี่ยังไม่นับรวมกระบวนการที่สูงกว่านั้นขึ้นไปอีก
แต่เหตุผลลึกๆ ที่ฝ่ายต่อต้านการเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ก็เพราะมีวาระ “ซ่อนเร้น” หลายอย่างผสมกลมกลืนกันไป
สำนักข่าวเนตรทิพย์ สรุปคร่าวๆ ถึงวาระ “ซ่อนเร้น” ข้างต้น คือ...หนึ่ง เพราะนโยบายของ พรรคก้าวไกล เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการเข้าถึงอำนาจรัฐและผูกขาดตลาดแบบกินรวบ ทั้งกองทัพและเจ้าสัวอภิมหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปมที่คิดจะลดขนาดและอำนาจกองทัพ และการทำลายทุนผูกขาดของนักธุรกิจกลุ่มที่ผูกโยงกับกองทัพและอำนาจรัฐ
สอง ความต้องการอย่างที่สุดที่จะกลับบ้านของอดีตนายกฯทักษิณ ที่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนมายาวนาน 18-19 ปี
สาม การมองว่าประชาชนคือ เจ้าของอำนาจอธิปไตย! สิ่งนี้...ยิ่งบั่นทอนอำนาจพิเศษ ทั้งจากกลุ่มก้อนที่มีอิทธิพลและเครือข่ายมากที่สุด อย่าง...กลุ่มข้าราชการประจำ โดยเฉพาะในซีกของ “การปกครอง” รวมถึงกลุ่มคนถืออำนาจพิเศษที่สูงกว่านั้นมากๆ
3 ปมข้างต้น คือ พลังที่จะขัดขวางมิให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล และสกัดกั้นมิให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ลำดับที่ 30 สะท้อนผ่านตัวละครคนสำคัญในกลุ่มก้อนต่างๆ นับแต่...บรรดานักร้องหน้าเดิมๆ, สื่อเลือกข้าง, นักวิชาการบางคน, ป.ป.ช., กกต., ส.ว., ศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ดังที่ปรากฏให้เห็นในวันนี้
ประเมินได้ว่า...ดีลลับ รอบนี้ ได้นำมาซึ่งสารพัดปัญหาที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและได้เสียงข้างมากอย่าง พรรคก้าวไกล ไม่อาจบรรลุเป้าประสงค์ได้ เหมือนเช่นในประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ต่อการให้มีการผสมพันธุ์การเมือง ข้ามขั้ว...เปลี่ยนข้าง! รัฐบาลใหม่ ด้วยการ...ฉีกทิ้งเอ็มโอยู และถีบพรรคก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน
ทว่าปรากฏการณ์ “กลืนน้ำลายตัวเอง”...ที่เคยประกาศเอาไว้ดังๆ “ไม่เอา 2 ลุง” และ “ไล่หนู-ตีงูเห่า” ย่อมจะสะท้อนก้องในใจของ...ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง! อย่างยากจะลืมเลือนได้ง่ายๆ
การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ด้วยการ “กลืนน้ำลายตัวเอง” และเปิดปฏิบัติการ “ตระบัดสัตย์” ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อแลกกับการเปิดทางกลับบ้านของอดีตนายกฯ ทักษิณ หรือไม่นั้น
อยากให้รู้กันจะๆ ว่า...เมื่อประชาชนคนไทยหูตาสว่างกันแล้ว พวกเราจะไม่หลงเหลือความโง่ใดๆ ให้กับพรรคการเมืองและนักการเมือง ที่เคยเป็น “ที่รัก” ของคนไทยในอดีตอีกต่อไป
ทำร้ายคนไทยได้...คนไทยก็พร้อมจะทำลายล้างกลับ! ได้เช่นกัน
มาวัดใจกันว่า...หลังการจัดตั้งรัฐบาลที่อาจผสมผสาน เครือข่าย “2 ลุง” บวก “หนูและงูเห่า”นั้น
ที่สุด! จะบริหารประเทศได้อย่างสะดวกโยธินหรือไม่? อย่างไร?
บทบาทและหน้าที่ใหม่ของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ยืนในฝั่งตรงกันข้ามกับประชาชนฟากประชาธิปไตยนั้น ปลายทาง...จะเป็นเยี่ยงไร?
บทสรุปของเรื่องนี้...นับถอยหลังจากนี้ไม่เกิน 4 ปีอย่างแน่นอน!!!.