11 มี.ค.67 คือวันที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินมาครบ 6 เดือน เป็นช่วงเวลา 6 เดือน ที่มี “ตุ้มถ่วง” อันหนักอึ้งต่อเนื่องมาจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่าจะเป็น 1. ปัญหาหนี้สินครัวเรือนจำนวน 16.2 ล้านล้านบาท (ไตรมาส 3/66) ทำให้มีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ระดับ 90.9% ของจีดีพี
2. ปัญหา “จีดีพี” ขยายตัวต่ำ รั้งท้ายในอาเซียนมาตั้งแต่หลังการรัฐประหารปี 57 เฉลี่ยไม่ถึงปีละ 2% ต่อเนื่องมาถึงปี 66 ซึ่งจีดีพีขยายตัวเพียง 1.9% ขณะที่หลายประเทศในอาเซียนจีดีพีโตกัน 2-3 เท่า เมื่อเทียบกับไทย
3. ปัญหาดอกเบี้ยแพง ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขยับปรับดอกเบี้ยนโยบายจากเดือน ส.ค.65 จนถึงช่วงก่อนที่นายเศรษฐาจะเข้ามาเป็นนายกฯ รวม 8 ครั้ง ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมายื่นอยู่ที่ 2.5%
คนที่มีเงินฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยไม่ถึง 2% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ปาเข้าไป 6-7% ดังนั้นช่วงห่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝาก-ดอกเบี้ยเงินกู้ของไทย จึงห่างกว่าหลายประเทศในอาเซียน คนส่วนใหญ่ที่เป็นหนี้ในเวลานี้จึงตกอยู่ในสภาพทำงานหารายได้มาใช้หนี้กันเป็นหลัก
เมื่อนายเศรษฐาเข้ามาเป็นนายกฯ จึงต้องทำงานตัวเป็นเกลียว แทบไม่มีวันหยุด เพราะต้องเดินทางไปตรวจราชการ ไปดูพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อหาช่องทางและโอกาสเกี่ยวกับอาชีพและรายได้ให้กับประชาชน
ขณะเดียวกันก็ขยันเดินสายไปพบผู้นำประเทศ และนักธุรกิจรายใหญ่ๆ ในต่างประเทศจำนวนมาก วันละหลายนัด หลายคน ด้วยจิตวิญญาณของ “เซลส์แมน” ที่นายเศรษฐารู้เรื่องเศรษฐกิจ เพราะมาจากภาคธุรกิจมาก่อน และพูดภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ยิ่งทำให้เซลส์แมนเศรษฐามีความมั่นใจมาก เมื่อเดินทางพบผู้นำประเทศต่างๆ และนักธุรกิจเอกชนรายใหญ่ในต่างประเทศ
จากภาพข่าวที่ปรากฏต่อสายตาคนไทย เมื่อเปรียบเทียบระหว่างนายเศรษฐากับนายกฯ คนก่อน ยิ่งมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
นายเศรษฐาเข้ามาบริหารประเทศใหม่ๆ ได้ช่วยให้ประชาชนเหลือเงินในกระเป๋ามากขึ้น ด้วยการลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าโดยสารรถไฟฟ้า
ขณะเดียวกันก็เร่งหาเงินเข้าประเทศแบบปัจจุบันทันด่วน คือ รายได้จากภาคการท่องเที่ยว ด้วยมาตรการ “วีซ่าฟรี” และขยายระยะเวลาของวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยว ส่งผลทำให้ 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ของปี 67 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 66 ถึง 50% โดยเพิ่มจาก 4,236,000 คน เป็น 6,390,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 2,130,000 คน ทำเงินเข้าประเทศเพิ่มขึ้นราว 106,500 ล้านบาท
ส่วนสินค้าเกษตรตัวหลักๆ ราคาได้ขยับตัวขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่ยางพารา โดยอ้างอิงที่ราคายางแผ่นดิบรมควันที่ซื้อขายกัน ณ ตลาดท้องถิ่นภาคใต้ ราคาเฉลี่ยปี 65 กก. ละ 56.45 บาท ราคาเฉลี่ยปี 66 กก. ละ 43.2 บาท และราคาเมื่อวันที่ 10 มี.ค.67 กก. ละ 74.0 บาท (ราคาน้ำยางดิบ กก. ละ 72.8 บาท) เป็นราคาสูงที่สุดในรอบ 41 เดือน โดยส่วนหนึ่งมาจากมาตรการปราบ “ยางเถื่อน” ที่ลักลอบขนเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านของรัฐบาลชุดนี้
ส่วนข้าวนาปรัง 2 ฤดูกาลเก็บเกี่ยวมาแล้ว! ชาวนาขายข้าวเปลือกได้ราคาเฉลี่ยตันละเกิน 11,000 บาท สูงกว่าช่วงก่อนเดือน ก.ค. 66 นับย้อนหลังไป 7-8 ปี ประมาณตันละ 2,500-3,000 บาท
รวมทั้งราคาอ้อย ต้นปีนี้พุ่งขึ้นไปตันละกว่า 1,000 บาท โดยเฉลี่ยราคาสูงกว่าปีก่อนๆ ตันละ 300-400 บาท และมันสำปะหลัง กก. ละ 3.90 บาท สูงกว่าปีก่อนๆ ประมาณ กก. ละ 2 บาท ปรับตัวขึ้นยกแผง ทั้งหมดนี้จึงเพิ่มรายได้ใหม่ให้กับเกษตรกรไทยอีกปีละเป็นแสนล้านบาทเช่นกัน
ส่วนเรื่องปัญหาหมอกควัน ฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และธุรกิจการท่องเที่ยว จะเห็นว่ารัฐบาลนี้เอาจริง นายเศรษฐาเดินทางไป จ.เชียงใหม่ 2-3 ครั้ง เพื่อกำชับการทำงานของเจ้าหน้าที่ และประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการเผาป่า เผาพื้นที่การเกษตร (เกิดจุดความร้อน) ทำให้สภาพฝุ่นจากค่า PM2.5 ย้อนหลัง จ.เชียงใหม่ (ต.ศรีภูมิ อ.เมืองเชียงใหม่) ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 67 ดีขึ้นกว่าปีก่อนๆ
ไหนจะเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้ในระบบ หนี้นอกระบบ นายเศรษฐาก็เป็นประธานในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวผ่านหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ ได้มีประชาชนมาลงทะเบียนรวมทั้งสิ้น 153,400 ราย มีลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยแล้ว 31,397 ราย (10 มี.ค. 67) สามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ 20,386 ราย มูลหนี้ลดลงรวม 833.418 ล้านบาท และมีกรณีที่เจ้าหนี้-ลูกหนี้มีความประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ได้ส่งต่อเรื่องไปยังพนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจในพื้นที่ดำเนินคดี 344 คดี รวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคดีการปั่นหุ้นมอร์ หุ้นสตาร์ค ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนไทย
ปัญหาหมูเถื่อน ตีนไก่เถื่อน นายเศรษฐาใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นศูนย์บัญชาการ คอยสั่งการและกำชับให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ-ปปง. ลุยจับและยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องลงอย่างราบคาบ
อีกเรื่องคือปัญหาพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด ที่ถูกกฎระเบียบเข้มงวดของ IUU จนสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆ กัน เพราะรัฐบาลรัฐประหารต้องการให้เป็นที่ยอมรับของสหภาพยุโรปจึงต้องเอาใจเขา
สุดท้ายคือ กรรมหนักตกมาอยู่กับพี่น้องชาวประมงในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา แต่รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขตามที่นายเศรษฐาได้รับปากกับพี่น้องชาวประมงไว้ตั้งแต่ตอนหาเสียง และเมื่อได้เป็นนายกฯ ใหม่ๆ ก็รีบลงพื้นที่ไปพบกับพี่น้องชาวประมง จ.สมุทรสงคราม มาแล้ว
นี่คือ... การทำงานตลอด 6 เดือนของนายเศรษฐา ทำอะไรไปบ้าง ทำทั้งที่งบประมาณปี 67 ยังไม่ออกมาเลย! และถ้าไม่มี “ตุ้มถ่วง” ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือน 16.2 ล้านล้านบาท ปัญหาดอกเบี้ยแพง! ที่ ธปท. ยังไม่มีวี่แววว่าจะถอย! ป่านนี้เศรษฐกิจไทยวิ่งฉิวไปแล้ว!!
เสือออนไลน์