ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2567 คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีการประชุมของ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) กระทรวงการคลัง และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) ได้ประชุมพิจารณามาตรการกระตุ้นตลาดหุ้น โดยชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยระบุว่า..
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยได้เผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งจากปัจจัยภายใน อาทิ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่ส่งผลต่อความล่าช้าต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ และปัจจัยภายนอก อาทิ ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้า อีกทั้งยังมีวิกฤตโควิด ซึ่งส่งผลต่อการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้ GDP ติดลบร้อยละ 6.1 (หรือ -6.1%) ในปี 2563 และยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปลายปี 2566 เป็นต้นมา แม้ว่ายังมีความกดดันจากความขัดแย้งทางการเมืองในต่างประเทศ และความผันผวนของตลาดการเงินจากนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ เศรษฐกิจของไทย เริ่มมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากความคลี่คลายทางการเมืองที่ได้ปลดล็อกการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่กลับมาใกล้เคียงก่อนวิกฤตโควิด ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวสูงในปีนี้และต่อเนื่องไปในปีหน้า สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ พบว่าผลประกอบการของบริษัทจดเบียนที่เกิดขึ้นจริงในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ มากกว่าครึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ระดับราคาของหุ้นไทยที่ปรับลดลง ในขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เป็นโอกาสของการเข้าลงทุนในระยะยาวที่รับความเสี่ยงผันผวนในระยะสั้นเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ตอบโจทย์การสร้างความเพียงพอ และความมั่นคงทางการเงินของผู้ลงทุนได้
มาตรการส่งเสริมการออมการลงทุน
แต่การปรับตัวของราคาของหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว อาจไม่ทำให้นักลงทุนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ คนที่มีรายได้น้อย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออมมาลงทุนในหลักทรัพย์ และเพื่อส่งเสริมการลงทุนระยะยาว ที่ผ่านมาการลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสามารถจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกิดการออม และยังสร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (fund flow) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อลดผลกระทบระยะสั้นได้ และการสร้างการลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนให้ลดการพึ่งพิง fund flow จากต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพในตลาดทุน
จากความสำเร็จของกองสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผ่านมา นำมาปรับเงื่อนไขกองสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในปัจจุบัน คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG fund) ให้มีความน่าสนใจ และสอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้าง positive impact ทั้งการออม การให้แรงจูงใจผู้ลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม และการให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน
นอกจากนี้ ภาครัฐยังศึกษาความสำเร็จของกองทุนในรูปแบบอื่น อาทิ กองทุนวายุภักษ์มาเสริมสร้างกลไก การออม การลงทุนให้กับประชาชนผ่านรูปแบบการลงทุนร่วมของภาครัฐ และการมีโครงสร้างผลตอบที่มีขั้นต่ำ ขั้นสูง การกำหนดลำดับของสิทธิการได้รับผลตอบแทนที่จะรองรับกลุ่มของผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แตกต่างกันอีกด้วย ร่วมกับการขับเคลื่อนและผลักดันการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในลักษณะอื่น ๆ เช่น การจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์ในอนาคต และการพัฒนา Exchange-Traded Fund (ETF) รวมทั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนระยะยาว (Individual Saving Account) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น
มาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน
มาตรการขับเคลื่อนการลงทุนจะต้องควบคู่กับการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายตลาดในปัจจุบัน ทั้งจากธุรกรรมขายชอร์ตและการซื้อขายของโปรแกรมเทรดที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) จึงได้ผลักดันมาตรการต่าง ๆ และเร่งรัดให้เกิดการดำเนินการที่คำนึงถึงผลกระทบในหลายด้านอย่างรอบคอบ และให้มีการดำเนินการอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะดำเนินการได้ต้นเดือนกรกฎาคม 2567
ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามผลของการดำเนินการและมีการทบทวนมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอให้มั่นใจว่า พฤติกรรมการกระทำผิดในลักษณะที่เข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ (Market Misconduct) เมื่อเกิดขึ้นจะมีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และระดับความรุนแรงของความผิดจะสูงขึ้นจากมาตรการที่ขับเคลื่อนครั้งนี้ รวมทั้งการกำหนดปรับปรุงค่าปรับจากการกระทำผิดที่สูงขึ้นและการปรับแก้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม
แนวทางการพัฒนาตลาดทุน
นอกเหนือจากการขับเคลื่อนในมิติการลงทุนระยะยาว การกำกับที่เข้มข้นมากขึ้นยังมีการขับเคลื่อนให้มีการพัฒนาตลาดทุน ให้เป็นกลไกสำคัญสอดคล้องกับสังคมดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวอีกด้วย ตัวอย่างโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนในทุกขั้นตอนทั้งระบบ (end to end) ให้เป็นดิจิทัล การระดมทุนจากสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ตลอดจนการส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดที่มีการกำกับดูแลเพื่อคุ้มครองนักลงทุนและสร้างความโปร่งใสที่เชื่อถือได้ให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐและการวางโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเพื่ออนาคตของตลาดทุนไทยจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เอาชนะความท้าทายต่าง ๆ ที่มาเผชิญกับเศรษฐกิจไทย และสามารถสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับผู้เกี่ยวข้องและผู้ลงทุนได้