บทสะท้อน "ปาหี่" จัดประมูลอินเตอร์?
เมินความเห็นกฤษฎีกา อีอีซีไร้อำนาจ!
…
เลขาธิการ สกพอ. ยันการแก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟความเร็วสูง "ไฮสปีดเทรน" เชื่อม 3 สนามบิน สามารถทำได้ภายใต้ พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 พ.ร.บ.อีอีซี ชี้ไม่เหมือนสัมปทานทั่วไป
เพราะการร่วมลงทุนภายใต้กฎหมายอีอีซี ไม่เหมือนกฎหมายอื่น เนื่องจากเป็นโครงการที่มีสัมปทานยาวถึง 50 ปี สัญญาจึงต้องมีความยืดหยุ่นให้ดำเนินการแก้ไขเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ เพราะทั้งสองฝ่ายเองต่างผิดสัญญาทั้งคู่ (เครดิต:กรุงเทพธุรกิจ)
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/11520พัฒนาพิเศษ19
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสวนกลับ ไม่แน่ใจ สกพอ. ได้ศึกษาอำนาจตามกฎหมายอีอีซีของตัวเองมารอบคอบแค่ไหน? และที่ผ่านมาได้สอบถามความเห็นหน่วยงานใดมาหรือ ถึงได้บอกว่า สัญญานี้เปิดช่องให้แก้ไขได้ครอบจักรวาล "เมต้าเวิร์ส"
พร้อมกับตั้งข้อสังเกต ในแนวทางการแก้ไขสัญญาที่คณะกรรมการ กพอ. ไฟเขียวไปก่อนหน้า และ สกพอ. กำลังตั้งแท่นเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อยู่นั้น มีส่วนไหนที่รัฐจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องแหล่งเงินกู้แก่เอกชนตามที่กล่าวอ้างหรือไม่?
ที่เห็นและเป็นไป มีแต่ตั้งแท่นให้รัฐปรับร่นการจ่ายเงินสนับสนุนโครงการ จำนวน 119,000 ล้าน ตามมติ ครม. จากเดิมที่ต้องจ่ายเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ (ในปีที่ 6 ของสัญญาเป็นระยะเวลา 10 ปี) มาเป็นการสร้างไป-จ่ายไปในปีที่ 2 แทนการระดมทุนของเอกชน
ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเอกชนในเรื่องของการระดมทุน หรือออกหน้าจัดหาแหล่งเงินให้เอกชนตามที่อ้างแต่อย่างใด มีแต่เอาเงินของรัฐไปลงทุนก่อสร้างแทนเอกชนเท่านั้น
ทั้งที่ความรับผิดชอบในการระดมทุนก่อสร้างนั้นเป็นเรื่องของเอกชนโดยตรง
ขณะที่ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจนนำมาสู่การตั้งแท่นแก้ไขสัญญานั้น ก็หาได้มีการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล จนรัฐจะต้องลงไปโอบอุ้มหรือเอื้อเอกชนคงเพียงนี้
เพราะที่ผ่านมา ก็แต่ข่าวการรถไฟฯ ไม่สามารถจะส่งมอบที่ดินได้ตามสัญญา (หรือส่งมอบแล้ว แต่ติดปัญหาที่ดินไม่ได้เคลียร์หน้าเสื่อให้หมดจรด หรือปลอดภาระ)
ขณะที่บริษัทเอกชนคู่สัญา เอเชีย เอรา วัน นั้น ก็มีปัญหาไม่สามารถระดมทุนก่อสร้างโครงการตามสัญญาได้ เพราะวิกฤติเศรษฐกิจและผลพวงจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้สถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยกู้
ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังไม่ได้มีการชี้ขาดว่า เป็นความผิดของฝ่ายใด รัฐคือการรถไฟฯ ต้องรับผิดชอบแค่ไหน? ถึงขั้นต้องยอมแก้ไขสัญญาเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการจากที่เอกชนต้องรับผิดชอบในการก่อสร้าง มาเป็นรัฐรับผิดชอบค่าก่อสร้างระบบงานโยธาและโครงสร้างพื้นฐานเอง ซึ่งผิดไปจากเงื่อนไขประกวดราคา
#ย้อนรอยแก้สัมปทานทางด่วน กทพ.
เปรียบเทียบกรณีการขยายสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน AB และ C และขั้นที่ 2 ส่วน D และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับบริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ NECL ที่ดำเนินการไปก่อนหน้านั้น
เพราะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่มีคำพิพากษาสั่งให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐ คือ กทพ. ต้องชดเชยความเสียหายจากการขาดรายได้ทางสัมปทาน จากผลพวงที่รัฐบาล โดยกรมทางหลวงดอดไปก่อสร้าง "ทางแข่งขัน" ส่วนต่อขยายโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงอนุสรณ์สถาน-รังสิต
จนเป็นเหตุให้ถูกบริษัท NECL บริษัทย่อยของ BEM ฟ้องรัฐบาล และ กทพ. ทำผิดสัญญาสัมปทานก่อสร้างทางแข่งขันที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณจราจรและรายได้ทางสัมปทาน จนมีการนำคดีขึ้นสู่อนุญาโตตุลาการและศาลในที่สุด
ในท้ายที่สุดศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อ 21 กันยายน 2561 ให้ กทพ. จ่ายชดเชยรายได้แก่บริษัทเอกชนคู่สัญญาจากผลกระทบที่เกิดจากรัฐบาลได้สร้างทางแข่งขันสำหรับปี 2542-43 จำนวน 4,300 ล้านบาท และ บริษัทเอกชนได้ใช้ฐานตัวเลขความเสียหายดังกล่าว ดำเนินการยื่นข้อพิพาทเพื่อเรียกค่าเสียหายชดเชย ตลอดสัมปทานจนถึงปี 2561 รวมกว่า 75,000 ล้านบาท
อันเป็นที่มาของการที่ ครม. เมื่อ 2 ตุลาคม 2561 ต้องให้ กทพ. และบริษัทเร่งเจรจาต่อขยายสัญญา Summer Time ออกไปเพื่อยุติความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
แต่กรณีความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ที่กว่า 5 ปี ยังไม่มีการก่อสร้างใดๆ นั้น ความล่าช้าที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการรถไฟฯ ที่อ้างว่า ยังไม่สามารถส่งมอบที่ดินได้ครบตามสัญญา เพราะ ที่ดินในเส้นทางสัมปทานหลักที่การรถไฟฯ ส่งมอบให้แก่บริษัทนั้น ได้ดำเนินการครบถ้วนตั้งแต่แรก มีเพียงที่ดินบึงมักกะสันในส่วนสนับสนุนเชิงพาณิชย์เท่านั้นที่ติดปัญหาลำรางสาธารณะ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของการรถไฟฯ ที่จะดำเนินการ
ที่เห็นและเป็นไป หลังวิกฤติไวรัสโควิด-19 เมื่อปี 2563-64 บริษัทเอกชนที่ต้องรับโอน รถไฟฟ้า "แอร์พอร์ตลิงค์" ไปตามสัญญา กลับร้องขอผ่อนชำระค่าสิทธิ์รับโอนรถไฟฟ้า Airport Link จำนวน 10,671 ล้านบาท ไปถึง 10 ปี ด้วยข้ออ้างได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและโควิด
ก่อนที่บริษัทจะขอแก้ไขสัญญาสัมปทานหลักตามมา เพื่อขอให้รัฐปรับร่นเวลาจ่ายเงินร่วมลงทุนจำนวน 1.2 แสนล้าน เร็วขึ้น ด้วยข้ออ้างได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดที่ทำให้ไม่สามารถระดมทุนก่อสร้างได้
สิ่งเหล่านี้เป็นความผิดของคู่สัญญาการรถไฟอย่างนั้นหรือ? การที่บริษัทไม่สามารถจะระดมทุน ก่อสร้างโครงการได้ตามสัญญานั้น เป็นความรับผิดชอบ ของคู่สัญญาฝ่ายรัฐ รฟท. ที่จะต้องแบกรับภาระแทนอย่างนั้นหรือ
ทั้งหลายทั้งปวง เป็นบทสะท้อนที่ชี้ให้เห็นว่า คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ของการรถไฟฯ ที่ดำเนินไปก่อนหน้านั้น มีความผิดพลาดในการตัดสินใจคัดเลือกบริษัทเอกชนรายนี้มาตั้งแต่แรก!
#กฤษฎีกาชี้ สกพอ. ไร้อำนาจเบ็ดเสร็จ
กับข้ออ้างของ สกพอ. ที่ว่าสัญญาร่วมลงทุนโครงการนี้ไม่เหมือนโครงการร่วมลงทุนอื่นๆ สามารถดำเนินการเจรจาแก้ไขสัญญาภายใต้ พ.ร.บ.อีอีซี ได้นั้น ได้ก่อให้เกิดคำถามตามมาทันที แล้วคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการตามสัญญาต้องขึ้นอยู่กับหน่วยงานใด?
สกพอ. หรือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) !
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีเอกสารบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ตอบข้อหารือของ สกพอ. กรณีที่คณะกรรมการ กพอ. จะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเป็นกรณีพิเศษในโครงการเมืองการบินตะวันออกในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี ที่ กพอ. ได้เห็นชอบหลักการไปแล้ว ตามพระราชบัญญัติอีอีซี พ.ศ. 2561
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีบันทึกแจ้งผลหารือกลับไปยัง สกพอ. โดยระบุว่า โดยที่พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไม่ได้รับยกเว้น โดยผลของบทเฉพาะการมาตรา 82 แห่งพระราชบัญญัติวินัย การเงินการคลังของรัฐ ประกอบกับกฎหมายว่าด้วยเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ใช้ถ้อยคำต่างกันกับกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน และกฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ดังนั้น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรตามมาตรา 43 (3) ประกอบมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดังกล่าว เมื่อกพอ.ได้ดำเนินการตามมาตรา 11(4 ) และ (7) ประกอบมาตรา 48 (3) และมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมาตรา 11 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันแล้ว
หน่วยงานที่มีอำนาจจัดเก็บภาษีอากรก็มีหน้าที่ต้องดำเนินการออกกฎหมายระดับรอง รองรับตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้สามารถยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรที่เก็บจากผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริม เศรษฐกิจพิเศษตามที่ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการนั้นได้รับจาก กพอ.
อันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า พ.ร.บ.อีอีซี ปี 2561 กำหนดอำนาจเพียงการประกาศเขตส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจที่จะยกเว้นภาษีหรือดำเนินการให้สิทธิพิเศษ ที่นอกเหนือหรือมากกว่า หน่วยงานที่เป็นเจ้าของกฎหมายนั้นๆ แต่อย่างใด
เมินรายงาน#สตง. ขัดหลักการ#พีพีพี
แล้วกรณีการตั้งแท่นแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่ต้องมีผลผูกพันไปถึง 50 ปี จะเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จของ กพอ. ได้อย่างไร
ยิ่งก่อนหน้านี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็เพิ่งจัดทำรายงานการติดตามตรวจสอบความคืบหน้าโครงการ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินดังกล่าว ที่มีความล่าช้ามากกว่า 2 ปี 10 เดือน (ปัจจุบันเกิน 3 ปีไปแล้ว)
โดย สตง. ได้ตั้งข้อสังเกตถึงแนวทางแก้ไขปัญหาทางการเงินโครงการนี้ โดยการปรับการชำระเงินโดยรัฐต้องจ่ายเงินร่วมลงทุนเร็วขึ้น และเอกชนขอแบ่งชำระค่าสิทธิ์ร่วมลงทุนในโครงการ Airport rail Link ที่ รฟท. ยังไม่ได้รับการชำระจากคู่สัญญา
โดย สตง. ระบุว่า มีความเสี่ยงที่จะกระทบหลักการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเติมศักยภาพในการลงทุน และลดภาระทางการเงิน และการคลังของรัฐและวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายโอนความเสี่ยงให้เอกชน อีกทั้งยังจะทำให้รถไฟ และรัฐบาลเสียโอกาสในการนำเงินที่จะร่วมลงทุนในโครงการไปใช้สำหรับการบริหารงานหรือดำเนินโครงการอื่นๆ ที่จำเป็นเร่งด่วนอีกด้วย
ทั้งรายงานผลการหารือในเรื่องของเขต อำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติอีอีซี พ.ศ. 2561 ของคณะกรรมการกฤษฎีกา และ รายงานการติดตามและตรวจสอบโครงการนี้ ของ สตง. ข้างต้น ที่ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น ก็ให้น่าแปลกว่า
เหตุใด ทั้งการรถไฟฯ และ สกพอ. จึงไม่คิดจะสอบถามหรือหารือประเด็นข้อกฎหมายเหล่านี้ กรณีนี้ไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เกิดความชัดเจนเสียก่อน
หากในอนาคตเกิดความเสียหาย บริษัทเอกชนไม่ดำเนินการตามสัญญาจนเกิดความเสียหาย หน่วยงานไหนจะรับผิดชอบ?
กลับ "ตั้งแท่น" จะโยนเผือกร้อนไปให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้รับผิดชอบแทนซะงั้น
บทเรียนจากกรณีโครงการรับจำนำข้าว โครงการระบายข้าว และโครงการขยายทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ที่ล้วนต้องลงเอยด้วย "ค่าโง่" ทำเอาใครต่อใครต้องเดินสู่ตะแลงแกง บ้างต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่น อยู่กระทั่งวันนี้ยังไม่เพียงพอจะทำให้รัฐบาลต้อง "ตระหนัก" และไตร่ตรองให้หนักแน่นรอบคอบกันอีกหรือ?