
สภาผู้บริโภค ประมวล 9 ข้อพิรุธ กรณีคำพิพากษาศาลอาญาทุจริตต่อ กสทช. "พิรงรอง รามสูต" ย้อนรอยตั้งแต่ประชุมก่อนสำนักงาน กสทช. ร่อนหนังสือถึงผู้รับใบอนุญาต สุดงง! แค่หนังสือเตือนไปยังผู้ประกอบการทีวีดิจทัลกลับถูกพิพากษาจำคุก 2ปี ไม่รอลงอาญา
…
สภาผู้บริโภค ได้แกะรอยกรณีคำพิพากษาศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่พิพากษาจำคุก ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และได้พบพิรุธที่มาที่ไปกรณีนี้ ดังนี้…

1. มูลเหตุที่มีการหยิบยกกรณีนี้ขึ้นฟ้องต่อศาล เพราะมีผู้บริโภคร้องเรียนว่า ช่องทรูไอดี (TrueID) มีโฆษณาแทรกมายังสำนักงาน กสทช. ต่อมาเรื่องร้องเรียนได้ถูกนำเข้าที่ประชุมอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ที่มี กสทช.พิรงรอง รามสูต ทำหน้าที่เป็นประธาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566
โดยคณะอนุกรรมการมีมติ 3 ประเด็น โดยไม่มีอนุกรรมการท่านใดคัดค้าน คือ (1) มอบหมายให้สำนักงานศึกษาบริการการเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต หรือ Over the Top (OTT) และบริการอื่นแบบเดียวกันเพื่อนำข้อมูลเสนออนุกรรมการ (2) ให้เชิญบริษัททรูไอดีและบริษัทอื่นหรือบริการอื่นที่รวบรวมช่องเช่นเดียวกันมาประชุมร่วมกับอนุกรรมการ และ (3) มีหนังสือแจ้งผู้รับอนุญาตทั้งหมดรวม 127 รายให้ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 (Must Carry) ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโทรทัศน์ทุกประเภท เช่น เคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม และ IPTV ต้องนำช่องโทรทัศน์ที่ภาครัฐกำหนดไปออกอากาศ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร บริการสาธารณะ และเนื้อหาสำคัญที่เป็นประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม
"ในการประชุมที่เป็นข้อพิพาทนี้ ไม่มีการพิจารณาประเด็นการกำกับ OTT แต่เป็นการพิจารณาลักษณะการให้บริการรวบรวมช่องรายการไปเผยแพร่ ภายใต้ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 (ประกาศ Service) และประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 (ประกาศ Network) ที่ผู้รับใบอนุญาตช่องรายการจะต้องออกอากาศในโครงข่ายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขใบอนุญาตและประกาศ กสทช. แต่เรื่องราวต่าง ๆ กลับถูกทำเห็นว่า กสทช.พิรงรองไปกำกับ OTT ทั้งที่ไม่มีอำนาจ"

#กสทช. มีอำนาจกำกับ OTT
2. ส่วนที่ว่า กสทช. มีอำนาจกำกับ OTT หรือไม่ ยืนยันว่า “มีอำนาจกำกับ” ซึ่งคำตอบนี้ปรากฏชัดในมติการประชุม กสทช. 2 ครั้ง ดังนี้ :
การประชุม กสทช.นัดพิเศษ ครั้งที่ 2/2560 วันที่ 24 เมษายน 2560 วาระ 5.1 การประกอบกิจการแพร่ภาพและเสียง OTT โดยมีมติที่ประชุม ว่า กำหนดให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ผ่านโครงข่ายอื่นที่มิใช่โครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ (OTT) เป็นกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ จึงถือเป็นกิจการโทรทัศน์ตามนิยามในมาตรา 4 ของ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่)
และการประชุม กสทช. ครั้งที่ 16/2566 วันพุธที่ 9 สิงหาคม 2566 วาระ 5.22 การพิจารณากำหนดรูปแบบและลักษณะการให้บริการแพร่ภาพแพร่เสียงผ่านบริการดิจิทัลแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ที่ประชุมมีมติ เห็นชอบการกำหนดให้การแพร่ภาพแพร่เสียงผ่านบริการดิจิทัลแพลตฟอร์มถือเป็นการให้บริการในลักษณะ service provider ฯลฯ
แม้ได้มีมติสองครั้งในปี 2560 และ 2566 ว่า OTT อยู่ในอำนาจ กสทช. แต่หลักเกณฑ์การกำกับยังไม่มีการประกาศใช้ ทั้งที่ กสทช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแพลตฟอร์มดิจิตอล (OTT) ซึ่งได้พิจารณาร่าง ประกาศ OTT และเสนอให้ สนง. เสนอที่ประชุม กสทช. พิจารณา แต่เรื่องกลับเงียบไป ทั้งที่ร่างดังกล่าวพิจารณาแล้วเสร็จตั้งแต่ ก่อนปลายปี 2566
สังคมตั้งคำถามว่า ร่างประกาศฯ ดังกล่าวอยู่ในกระบวนการใด? ใครเป็นผู้สกัด? จนทำให้กลายเป็นปัญหาบานปลาย!
3. เมื่ออนุกรรมการมีมติ หรือความเห็นข้อเสนอแนะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้ว ขั้นตอนถัดไปเป็นหน้าที่ของสำนักงานที่จะพิจารณาดำเนินการ หากเรื่องใดที่อยู่ในอำนาจของสำนักงานก็สามารถพิจารณาได้เอง ในกรณีนี้เป็นการออกหนังสือแจ้งไปยังผู้รับอนุญาตให้ปฏิบัติตามประกาศและเงื่อนไขที่ กสทช. ออกระเบียบไว้อยู่แล้ว ตามกฎหมาย กสทช. มาตรา 64
4. แล้วเหตุใดจึงต้องระบุชื่อโจทก์ การระบุชื่อโจทก์ เป็น 1 ในมติที่ประชุม 3 ข้อของการประชุมครั้งที่ 3 เนื่องจากเห็นว่า หากไม่ระบุชื่อโจทก์จะทำให้ไม่เข้าใจบริบทของความเป็นมาในเรื่องดังกล่าว และที่ประชุมยังมีมติให้ตรวจสอบว่า มีรายใดให้บริการในลักษณะนี้ ถ้าพบให้ระบุชื่อไปทั้งหมด ไม่ได้เจาะจงให้ระบุชื่อโจทก์เพียงรายเดียว และต่อมาสำนักงานได้มีการออกหนังสือแจ้งลักษณะเดียวกันไปยังรายอื่นๆ อันเป็นการยืนยันว่าจำเลย (กสทช.พิรงรอง) ไม่ได้ตั้งใจเล่นงานทรูไอดีแต่อย่างใด
5. ส่วนที่มีการกล่าวหาว่า กสทช.พิรงรอง มีการจัดทำรายงานเท็จนั้น จากการตรวจสอบโดยละเอียดไม่ปรากฏว่า มีการดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะโดยข้อเท็จจริง สำนักงาน กสทช. ในฐานะเลขานุการจะเป็นผู้จัดทำรายงานการประชุมในแต่ละครั้ง และเสนอให้ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณารับรอง ซึ่งโดยปกติของ กสทช. หากแก้ไขไม่มากฝ่ายเลขานุการจะรวบรวมข้อสังเกตและความเห็นเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง เมื่อปรับแก้ให้ครบถ้วนถูกต้องตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ถือว่าที่ประชุมรับรองรายงานการประชุมดังกล่าว
ข้อเท็จจริงที่สอง พบว่า มติที่ประชุมในรายงานการประชุมไม่มีการแก้ไขแต่อย่างใด เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากว่าเหตุใด กสทช.พิรงรอง กลายเป็นผู้ที่มีส่วนในทำรายงานเท็จ ทั้งที่เป็นกระบวนการรับรองรายงานการประชุมซึ่งเป็นขั้นตอนปกติของการประชุมทุกหน่วยงาน

#บทสะท้อนความขัดแย้งภายใน กสทช.?
"สิ่งที่สังคมควรตั้งคำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นในสำนักงาน กสทช. ที่ทำให้รายงานการประชุมตามขั้นตอนปกติ กลายเป็นการทำรายงานเท็จจากประธาน ทำไมโจทก์จึงมีเอกสารหลักฐานหรือเทปบันทึกรายงานการประชุมทั้งหมดในครอบครอง ทั้งที่การขอเอกสารหลักฐานการประชุมต่าง ๆ ขององค์กรคู่พิพาทจะขอได้เฉพาะเอกสารที่อยู่ในวาระนั้นเท่านั้น"
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า โจทก์สามารถมีรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมทั้งหมด รวมทั้งเทปเสียงบันทึกการประชุมตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับมตินั้น ๆ เท่านั้น แม้กระทั่งเทปบันทึกการประชุมที่ปิดการประชุมไปแล้ว ซึ่งไฟล์เสียงการประชุมเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของสำนักงานที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้
"คำถามที่สังคมควรพิจารณา คือ การได้มาซึ่งทรัพย์สินของรัฐเหล่านี้ ถูกต้องหรือไม่ และทำไมสำนักงาน กสทช. ไม่เคยตั้งเรื่องสอบสวนประเด็นข้อมูลภายในรั่วไหลในกรณีนี้เลย"
6. มีกระแสข่าวว่ามีการวางแผนฟ้องคดีและกดดันให้ กสทช. พิรงรอง ลาออกจากตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง จริงหรือไม่ กรณีดังกล่าวพบว่า มีการฟ้องคดีต่อเนื่อง และมีการขอให้ กสทช.พิรงรองหยุดทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
โดยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2566 บริษัททรูดิจิทัลกรุ๊ป ได้ฟ้อง กสทช. พิรงรอง ต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯในข้อหา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนที่ศาลจะรับฟ้อง วันที่ 14 มีนาคม 2567 ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2567 บริษัททรู ดิจิทัล กรุ๊ป ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ กสทช. พิรงรองหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ศาลได้ยกคำร้องดังกล่าว โดยพิจารณาว่า จำเลยไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ ขัดขวาง หรือกลั่นแกล้งการประกอบธุรกิจของโจทก์ตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งควรถูกนำมาพิจารณาในคำพิพากษาวัน ที่ 6 กุมภาพันธ์ แต่กลับไม่ได้เห็นคำให้การ หรือคำโต้แย้งของจำเลยหรือข้อมูลของพยานฝั่งจำเลยเลยปรากฏในคำพิพากษา
"จะเห็นได้ว่า แรงกดดันจากการดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการหลุดจากตำแหน่งกรรมการ กสทช. คือ หากพิรงรองไม่ได้รับการประกันตัวในวัน 6 ก.พ. และต้องจำคุกหนึ่งคืน พิรงรองจะหลุดจากตำแหน่ง กสทช. ตามกฎหมาย"
7. คำถามใหญ่ที่สังคมควรรับรู้ คือ ทรูไอดี มีโฆษณาแทรก หากรับชมช่องรายการฟรีทีวี (linear TV) จริงหรือไม่? เป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือไม่? เข้าข่ายหาผลประโยชน์จากช่องรายการของคนอื่นใช่หรือไม่? ทรูไอดี รวบรวมช่องรายการฟรีทีวี (ผู้บริโภคสามารถรับชมช่องฟรีทีวีผ่านแอปทรูไอดี) ใช่หรือไม่? และเมื่อได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจมีการแบ่งปันให้กับช่องรายการเจ้าของช่องหรือเจ้าของลิขสิทธิ์บ้างหรือไม่?
จากการตรวจสอบพบว่า บริการทรูไอดี กับ และของบางบริษัท ต่างมีการรวบรวมช่องรายการฟรีทีวีที่เป็นทีวีดิจิทัล เผยแพร่ผ่านแอปพลิเคชันมือถือบนโครงข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (ผู้ให้บริการรายใดก็ได้) ใช่หรือไม่? เพราะเหตุใดอีกบริษัทนึงที่เผยแพร่ผ่านแอปพลิเคชันมือถือบนโครงข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะ จึงมาขอรับอนุญาตจาก กสทช. และเหตุใด ทรูไอดี จึงไม่มาขออนุญาตจาก กสทช.? หรือสำนักงาน กสทช.ไม่เคยแจ้งให้มาขออนุญาต?
จะเห็นได้ว่า คณะอนุกรรมการอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ที่มี กสทช.พิรงรองเป็นประธาน ได้ทำตามหน้าที่ในการแก้ไขเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคให้เป็นไปตามกติกาหลักเกณฑ์ที่ได้ทำหนดไว้ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญในมาตรา 60 ที่พอสรุปได้ว่า ทรัพยากรคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรของชาติ ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ควรหรือไม่ที่ผู้ทำตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญได้รับการลงโทษขั้นอาญา

8. ที่ผ่านมา กสทช. ละเลยอะไร? เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อประชาชน และสังคมทั่วไปว่า กสทช. ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในหลายกรณีที่เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคทั้ง ๆ ที่อยู่ในอำนาจของ กสทช. จนเป็นเหตุให้สภาผู้บริโภคดำเนินการจัดทำรายงานการละเมิดสิทธิผู้บริโภคให้กับ ปปช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในกรณีการควบรวมกิจการของทรูและดีแทค รวมถึงเอไอเอสกับสามบีบี หรือปัญหาสำคัญที่สุดของผู้บริโภคในปัจจุบัน ในการจัดการขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายหลายหมื่นล้านให้กับประชาชน
กสทช. ก็ยังไม่มีการออกประกาศให้บริษัทโทรคมนาคม (Telco) รับผิดชอบเช่นเดียวกันกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการออกมาตรการใหม่ผ่านราชกิจจานุเบกษา ยกระดับความปลอดภัยของแอปพลิเคชันธนาคาร เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พัฒนากลโกงซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกสวมรอยทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร
คดี กสทช. พิรงรอง สะท้อนให้เห็นว่า การปกป้องสิทธิผู้บริโภคในประเทศนี้อาจแลกมาด้วยความเสี่ยงทางกฎหมาย แม้แต่ผู้ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลอย่างตรงไปตรงมา ก็อาจต้องเผชิญกับบทลงโทษรุนแรง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของบุคคล แต่คือแรงกระเพื่อมที่ส่งผลต่ออนาคตของการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งระบบ
