
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2568 ที่สำนักงาน กสทช. น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค พร้อม นายอิฐบูรณ์ อันวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ได้เขายื่นหนังสือร้องเรียนต่อศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ประธาน กสทช.) ผ่าน พล.อ.สิทธิชัย มากกุญชร โฆษกประจำประธาน กสทช. เรียกร้องให้ชะลอการประมูลคลื่นความถี่ครั้งใหม่ หลังจากที่ประชุม กสทช. กำหนดไทม์ไลน์การประมูลในวันที่ 17-18 พ.ค.68

โดยสภาองค์กรของผู้บริโภค เห็นว่า การเปิดประมูล 6 ย่านความถี่ ได้แก่ 850 MHz, 1500 MHz, 1800 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz และ 26 GHz รวมกัน 450 MHz มูลค่าประมาณ 1.2 แสนล้านบาทครั้งนี้ อาจไม่เป็นธรรม เนื่องจากปัจจุบันตลาดโทรคมนาคมไทยเหลือผู้ให้บริการหลักเพียง 2 รายเท่านนั้น คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น และเอไอเอส หลังการควบรวมกิจการระหว่างทรู-ดีแทค การแข่งขันในตลาดลดลงอย่างเห็นได้ชัด งานวิจัยจาก 101 Public Policy Think Tank พบว่า ค่าบริการมือถือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.9% หรือประมาณ 100 บาทต่อเดือนต่อผู้ใช้ นับตั้งแต่การควบรวม ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกแพกเกจราคาถูกเหมือนในอดีต เช่น แพกเกจ 299 บาทต่อเดือนที่หายไป และถูกแทนที่ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 399 บาท

"การประมูลคลื่นความถี่ครั้งใหม่นี้ ไม่มีหลักประกันว่าจะคุ้มครองผู้บริโภคได้จริง เนื่องจาก 1. ไม่มีการแข่งขันที่แท้จริง เมื่อเหลือผู้ให้บริการหลักเพียง 2 ราย อาจเปิดทางให้เกิดการผูกขาด 2. ไม่กำหนดเพดานค่าบริการสูงสุด ทำให้ผู้ให้บริการสามารถกำหนดราคาได้ตามใจชอบ และ 3. ไม่มีมาตรการคุ้มครอง MVNO (ผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน) ซึ่งทำให้ผู้เล่นรายเล็กไม่มีโอกาสแข่งขัน การประมูลครั้งนี้อาจเป็นการเอื้อให้เอกชนบางรายได้ประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวว่า กสทช. อาจลดราคาขั้นต่ำของการประมูลลง ซึ่งจะยิ่งทำให้การแข่งขันลดลงไปอีก จึงต้องการให้ กสทช. ทบทวนหลักเกณฑ์การประมูล"