
“พีระพันธุ์” สั่ง กฟผ. เคลียร์ประมูลขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะให้ถูกต้อง หลังผลตรวจสอบข้อเท็จจริงชี้ชัด ไม่มีความจำเป็นต้องประมูลด้วยวิธีการพิเศษจนงานงอก พบข้อมูล กฟผ.ยังมีสต๊อกสำรองถ่านหินอีกมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพลังงานว่า นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ส่งหนังสือลงวันที่ 7 มีนาคม 2568 ถึงผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ้ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรื่อง การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ. พร้อมส่งสรุปรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ. ที่มี พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร เป็นประธาน เพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ในหนังสือดังกล่าวระบุว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะกำกับดูแลการไฟฟ้าฝ้ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ. เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 นั้น บัดนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอให้ผู้ว่า กฟผ.พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ตรวจสอบรายงานของคณะกรรมการฯ ประกอบข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว เห็นว่ามีประเด็นที่เป็นข้อสังเกต โดยสรุปดังนี้
1. กรณีความจำเป็นเร่งด่วนของการจัดจ้าง ปรากฏสาเหตุที่ กฟผ. อ้างว่า ต้องดำเนินการจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะตามสัญญาโดยเร่งด่วน เพราะมติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2567 ซึ่งเมื่อตรวจสอบมติ กพช. ดังกล่าว พบว่า มีสาเหตุมาจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2565 พิจารณาการเลื่อนแผนการปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะเครื่องที่ 8-11 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2568 เนื่องจากคาดการณ์ราคาก๊าชธรรมชาติเหลว (LNG) มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงจนถึงปี 2568 หรือปี 2569 เพราะเหตุสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่ข้อยุติ รวมทั้งหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย อุปทานเพิ่มเติมจากโครงการผลิต LNG ยังคงจำกัด เพราะการลงทุนก่อสร้างโครงการผลิตใหม่ลดลง

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามมติ กพช. ดังกล่าวจะส่งผลให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 2 ล้านตัน ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 จากเหตุดังกล่าวเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของ กฟผ. จึงเสนอให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะโดยวิธีพิเศษเป็นสัญญาที่ 8/1 แต่มีข้อขัดข้องหลายประการจึงทำให้ล่าช้า โดยเฉพาะประเด็นใช้วิธีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาเดิม (สัญญาที่ 4 และสัญญาที่ 9) หรือต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ว่าจะดำเนินการโดยวิธีใด
จากความล่าช้าในการดำเนินการดังกล่าว ทำให้ปรากฎข้อเท็จจริงว่าสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับราคาและการขาดแคลนก๊าซที่จะนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าตามการคาดการณ์ของ กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2565 ที่ให้เสนอต่อ กพช.เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2565 นั้นไม่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น เหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนตามข้อเสนอของ กบง. จึงผ่านพ้นไปแล้ว เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะโดยวิธีพิเศษจึงหมดสิ้นไปแล้ว จึงควรเสนอ กพช. ให้ทราบสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อที่ กพช.จะพิจารณามีมตีในเรื่องนี้ใหม่ แต่กลับไม่มีการดำเนินการเช่นนั้น อีกทั้งมีข้อมูลน่าเชื่อได้ว่า กฟผ. ยังคงมีสต๊อกสำรองถ่านหินปริมาณมากพอสมควร
นอกจากกรณีข้างต้นแล้วปรากฏว่า ในการประชุม กพช. เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2565 มีมติเห็นชอบให้ กฟผ.นำโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 4 กลับมาผลิตไฟฟ้าในช่วงปี 2565-2568 ซึ่งหากนับระยะเวลาที่คณะกรรมการ กฟผ. จะอนุมัติให้ว่าจ้างชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะเมื่อปลายปี 2567 แล้ว ก็เหลือเวลาเพียง 1 ปี ต้องยกเลิกการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าถ่านหินดังกล่าว รวมทั้งหากพิจารณาตาม PDP 2018 Revision 1 กำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญามีอัตราสูงกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของระบบอยู่แล้ว ดังนั้น ปริมาณงานที่จะว่าจ้างให้ชุด-ขนถ่านหินตามสัญญาที่ 8/1 ดังกล่าว ย่อมมีปริมาณที่มากเกินความจำเป็นอีกด้วย ดังนั้น จึงไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการว่าจ้างโดยวิธีพิเศษอีกต่อไป

2. การว่าจ้างชุดขนถ่านหินแม่เมาะสามารถดำเนินการได้ โดยการเปิดประมูลตามปกติ กฟผ. มีสายงานที่รับผิดชอบในส่วนเหมืองแม่เมาะเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว จึงอยู่ในวิสัยที่ กฟผ. จะทราบความจำเป็นที่จะต้องว่าจ้างชุด-ขนถ่านหินได้ล่วงหน้า ซึ่งทำให้วางแผนและเตรียมการเปิดประมูลขุด-ขนถ่านหินแบบกรณีปกติได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ เพราะตามเงื่อนไขสัญญาที่ 4 จะสิ้นลงช่วงสิ้นปี 2568
ทั้งนี้ หาก กฟผ. จำเป็นต้องใช้ถ่านหินเพิ่มเติม กฟผ. ก็เตรียมการล่วงหน้าที่จะเปิดประมูลขุด-ขนถ่านหินเพิ่มเติมได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ แต่กรณีที่ กฟผ. กล่าวอ้างมติ กพช. เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2565 ว่า มีกรณีจำเป็นเร่งด่วนจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน จึงเป็นเหตุที่นำมาใช้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีวิธีพิเศษ แต่เมื่อสถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้ไม่เกิดขึ้น ก็อยู่ในวิสัยที่ กฟผ. จะปรับแก้การดำเนินการดังกล่าวให้เหมาะสมและถูกต้องตาม PDP 2018 Revision 1 ได้

3. การพิจารณาการดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษกรณีนี้ แม้มีข้อโต้แย้งจากผู้เกี่ยวข้องก็ตาม แต่โดยรูปคณะะกรรมการฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเห็นว่าเป็นข้อโต้แย้งในด้านการดำเนินการในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งอยู่ในถ้อยความรู้ของคู่กรณีที่ไม่อาจหาข้อยุติได้ สืบเนื่องจากกฎระเบียบของ กฟผ. ในกรณีการจัดซื้อจัดจ้างมีความหละหลวมหลายประการ จึงเป็นเรื่องที่คู่กรณีพึงใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการต่อไปเอง
#ชี้ค่าไฟทะยานขึ้นแน่ 10 สต.
ขณะที่ นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส นักธุรกิจด้านพลังงานสะอาด และอดีตสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์ข้อความผ่าน FB กรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมต.พลังงาน ออกคำสั่งเบรกโครงการขุดขนถ่านหินลิกไนท์ เข้าโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ลำปางนั้นว่า จะทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีภาระที่สูงขึ้น และอาจกระทบค่าไฟได้ถึง 10 สตางค์ต่อหน่วย
โดยนายตรีรัตน์ได้กล่าวว่า วันนี้การใช้ไฟฟ้าในประเทศ ประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าจากหลายประเภท ทั้งแก๊ส โซลาร์ ลม ขยะ ถ่านหินลิกไนต์ ซึ่งสูตรการคิดค่าขายไฟให้ประชาชนคือการเอาต้นทุนซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้มาเฉลี่ยต้นทุน บวกค่าสายส่ง และค่าบริการของการไฟฟ้า โดยอัตราซื้อไฟแตกต่างกันออกไป เช่น โรงไฟฟ้าแก๊สประมาณ 3 บาทกลางๆ ต่อหน่วย โรงไฟฟ้าโซลาร์ -ลม ค่า Adder อยู่ประมาณ 8-13 บาท/หน่วย ส่วนที่ถูกที่สุดก็คือโรงไฟฟ้าถ่านหินประมาณ 1.5 บาท/หน่วย ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตถือว่าเป็นโรงไฟฟ้าที่ต้นทุนการผลิตไฟต่ำที่สุด

"หากประเทศไทยทำสัญญาซื้อไฟกับโรงไฟฟ้าที่ต้นทุนถูก แน่นอนว่าค่าไฟก็จะถูกลง อย่างเช่นโครงการประมูลโซลาร์ล๊อตใหม่ 3,600 เมกะวัตต์ จะถูกกว่าโครงการเดิมแบบมี Adder ล๊อตเก่า เพราะราคาประมูลใหม่ fix ราคาซื้อที่ 2.16 บาท/หน่วย ตลอดอายุสัญญา (ขณะที่สัญญาเก่า+ค่าแอดเดอร์+FT สูงถึง 8-13บาท/หน่วย)
แต่วันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าขั้นวิกฤตจากการบริหารงานที่ผิดพลาดอีกครั้งของนายพีระพันธุ์ เนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่ปัจจุบันมีกำลังผลิต 2,400 เมกะวัตต์ และเป็นโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟได้ถูกที่สุด กำลังมีปัญหาด้านการผลิต เพราะ รมต.พลังงาน ไปสั่งระงับการซื้อถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เอาไว้ ซึ่งทราบต่อมาว่า มี “นายทุนใหญ่” ผู้เสียผลประโยชน์ไปวิ่งอุทธรณ์ โดยนายพีระพันธุ์ก็ออกมารับลูก ด้วยความรวดเร็วเสมือนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเอง จนน่าแปลกใจ ทั้งที่ กฟผ. ได้เคยออกมาชี้แจงแล้วว่า การประมูลขุดเหมืองถ่านหินเป็นไปอย่างโปร่งใส"
ทั้งหมดนี้ จะส่งผลให้ประชาชนต้องรับกรรมที่ตามมาจากการกระทำของคุณพีระพันธุ์ เพราะโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะต้องลดกำลังการผลิตจาก 2,400 เมกะวัตต์เหลือ 1,285 เมกะวัตต์ เนื่องจากถ่านหินในคลังมีไม่เพียงพอ โดย กฟผ. ต้องเปลี่ยนไปเดินเครื่องโรงไฟฟ้าก๊าซแทน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และยังต้องนำเข้าก๊าซ LNG มาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐต้องแบกต้นทุนที่สูงขึ้นถึงเดือนละ 1,300-1,900 ล้านบาท และอาจมีผลลต่อการปรับค่าไฟขึ้นอีกประมาณ 7-10 สตางค์ ตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 เป็นต้นไป
"คำถามคือนายพีระพันธุ์ ในฐานะ รมต.พลังงาน และเป็นผู้สั่งคัดค้านการรับซื้อถ่านหินเข้าโรงไฟฟ้าแม่เมาะ พร้อมจะรับผิดชอบหรือไม่ หากค่าไฟมีการปรับขึ้น"