ไม่รู้จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี-หรือยินร้ายกันแน่!กับแผนการควบรวมสองรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารของประเทศ คือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นประธาน โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ไปพิจารณาปรับย้ายบุคลากร แต่ไม่ให้มีผลกระทบกับบุคลากรในการที่จริงแนวทางการควบรวมกิจการ TOT และ CAT ดังกล่าว ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่มีความพยายามดำเนินการกันมาเป็นทศวรรษแล้ว และแนวทางล่าสุดนั้น ก็เป็นไปตามมติ คนร. ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2562 แล้ว โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับรัฐวิสาหกิจได้ เร่งรัดให้มีการควบรวมกิจการ “ทีโอที-แคท” โดยเร็วก่อนมอบหมายให้กระทรวงดีอีนำแผนกลับไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินการและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)ที่บอกว่าไม่รู้จะยินดี หรือยินร้ายกับการจับสองหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านการสื่อสารของประเทศมาควบรวมกันนั้น ก็เพราะมติ ครม. และ คนร. ข้างต้น มันสะท้อนให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ของการแก้ไขและฟื้นฟูปัญหารัฐวิสาหกิจ 6-7 แห่ง ที่รัฐบาลและ คนร. โม่แป้งมาตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจนเพราะระยะเวลา 4-5 ปี ที่รัฐบาลและ คนร. ปล้ำจับเอารัฐวิสาหกิจ 6-7 แห่งมา ”ใส่ตะกร้าล้างน้ำ” ดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ และควบคุมทุกอย่างอย่างเข้มงวดมาโดยตลอดนั้น มีรัฐวิสาหกิจเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่สามารถ “ปลดโซ่ตรวน” ออกจากแผนฟื้นฟูไปได้ นั่นคือ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยขณะที่อีก 5 รัฐวิสาหกิจที่เหลือซึ่งได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ และเดินตามแผนฟื้นฟูมาโดยตลอดนั้น ไล่ดะมาตั้งแต่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ( ขสมก.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และสองรัฐวิสาหกิจ ทีโอที และแคท ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้เมื่อใดยิ่งเมื่อมาเห็นมติ คนร. และ ครม.ล่าสุด ก็ยิ่งทำให้เกิดคำถาม กี่ปีมาแล้วที่รัฐบาล และ คนร. ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งเอากับแผนฟื้นฟูกิจการของสองรัฐวิสาหกิจที่ว่านี้ เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ก็ดิ้นเอาเป็นเอาตายกับการให้สองรัฐวิสาหกิจได้ร่วมกันลงขันจัดตั้ง “บริษัท โครงข่ายอินเทอร์เน็ตบอร์ดแบนด์แห่งชาติ (NGN) และบริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ต (NGDC)” ที่เรียกได้ว่า ทำเอา 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น สองหน่วยงานดังกล่าวไม่เป็นอันได้ทำอะไรนอกจากปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่งเอากับแนวทางการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูมาวันนี้กลับจะให้สองหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหันกลับมาเร่งควบรวมกิจการบริษัทแม่โดยตรง หลังจากที่ต้อง “ล้มเหลว” ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนของสองรัฐวิสาหกิจข้างต้นไปแล้ว จนก่อให้เกิดคำถาม คนร.กำลัง “เล่นเอาเถิด” อยู่กับกับแผนฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจหรืออย่างไร? และการที่ คนร. หันกลับมาปัดฝุ่นแนวทางการควบรวมกิจการ “ทีโอที-แคท” ดังกล่าว ถือเป็นเครื่องสะท้อนความล้มเหลวของการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการสื่อสารของประเทศหรือไม่?และหากสองรัฐวิสาหกิจข้างต้นถูกจับ “มัดตราสัง” ทำการควบรวมกิจการกันไปได้จริง หลังการควบรวมกิจการกันไปแล้ว จะให้บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติที่ว่านี้ดำเนินกิจการอะไรได้บ้าง?ควบรวม“ทีโอที-แคท”..เหล้าเก่าในขวดใหม่ย้อนรอยกลับไปดูมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 และมติคณะกรรมการนโยบายและกำกับรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่ให้สองรัฐวิสาหกิจ “ทีโอที-แคท” ร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุน 2 บริษัท คือ บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (NBN )และบริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตจำกัด หรือ NGDCทั้งที่พนักงานและสหภาพรัฐวิสาหกิจของทั้งสองหน่วยงานต่างก็ออกโรงคัดค้านอย่างหนักหน่วง ด้วยเห็นว่ามีการนำทรัพย์สินโครงข่ายจากบริษัทเดิม เพื่อนำไปขายต่อในลักษณะ Wholesale นั้น จะมีผลต่อการขยายและพัฒนากิจการโทรคมนาคมของรัฐ หากรัฐไม่สามารถบังคับให้หน่วยงานเอกชนหรือหน่วยงานรัฐภาคอื่นมาเช่าใช้โครงข่ายของบริษัทลูกร่วมทุนที่ว่านี้ได้อีกทั้งจากการว่าจ้างบริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทยฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาวิเคราะห์แผนดำเนินการจัดตั้งบริษัทลูกตามมติคนร.กลับพบว่า บริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่คือบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ (เอ็นจีดีซี) จะมีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องเกินกว่า 5 ปี เนื่องจากไม่มีที่มาของรายได้ที่ชัดเจน ขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมมีการแข่งขันดุเดือดรุนแรง ทั้งสองบริษัทได้วิเคราะห์อนาคตของบริษัทลูกร่วมทุนที่ว่าแล้ว ระบุว่า จะมีผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 5 ปี ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของทีโอที และแคท ในอนาคตอย่างแน่นอน หากการดำเนินการไม่เป็นไปตามคาดการณ์ และที่มาของรายได้ไม่มีความชัดเจนจนยากที่จะดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดได้อีกทั้งยังเห็นว่า การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าว โดยมีบอร์ดและฝ่ายบริหารของตนเอง เท่ากับจัดตั้งรัฐวิสาหกิจใหม่ขึ้นมาอีก 2 แห่งเป็น 4 แห่ง พนักงาน 4 บริษัทจึงไม่ตอบโจทย์ของการลดความซ้ำซ้อนแต่อย่างใด ทำให้ยากที่บริษัทลูกร่วมทุน “ทีโอที-แคท” ที่ว่านี้จะสลัดพ้นโซ่ตรวน กฎ ระเบียบต่างๆ ออกไปได้แล้วการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “ทีโอที-แคท” ที่เป็นบริษัทแม่โดยตรง จะไม่มีความยุ่งยากกว่าหรือ?