
ชี้เป็นอำนาจ "เลขาฯ กสทช." ตั้ง กก.สอบ ไม่ใช่ประธาน
ส่วนจะตั้งใครเป็นเลขาฯ เป็นอำนาจประธาน ไม่ใช่บอร์ด กสทช. อีก
…
ศาลปกครองกลางยกฟ้องปมประธาน กสทช. ไม่ตั้ง กก.สอบวินัย – ไม่เปลี่ยนตัวเลขาฯ กสทช. ชี้เป็นอำนาจเลขาธิการตัวจริง มติบอร์ดทำกินอำนาจ – ไม่ผูกพันให้ประธาน กสทช. ต้องทำตาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 1764/2566 คดีหมายเลขแดงที่ 1399/2568 ระหว่าง พลอากาศโท ธนพันธ์ หร่ายเจริญ กสทช. ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน (ผู้ฟ้องคดี) กับ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดี) และ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน (ผู้ร้องสอด)
คดีนี้สืบเนื่องจากการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการประชุมครั้งที่ 30/2565 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 มีมติเห็นชอบให้นำเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.)จำนวน 600,000,000 บาท สนับสนุนการซื้อลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่สัญญาณการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 ต่อมาเกิดประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจนนำไปสู่การตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งได้รายงานผลต่อที่ประชุม กสทช. ในการประชุม ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 โดยที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยรองเลขาธิการ กสทช. (นายไตรรัตน์ - ผู้ร้องสอดที่ 1) และให้เปลี่ยนตัวผู้รักษาการแทนเลขาธิการจากผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นรองเลขาธิการ กสทช. อีกคนหนึ่ง (ผู้ร้องสอดที่ 2) แต่ประธาน กสทช. ไม่ดำเนินการตามมติบอร์ด

ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 จึงฟ้องว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามมติดังกล่าว เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติตามมติดังกล่าว
ศาลปกครองกลางมีคำวินิจฉัยว่า กรณี กสทช. ในการประชุมครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ระเบียบวาระที่ 5.22 มีมติเห็นชอบให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผู้ร้องสอดที่ 1 นั้น ผู้ร้องสอดที่ 1 แม้จะเป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. แต่ตำแหน่งเดิม คือ รองเลขาธิการ กสทช. ซึ่งมีสถานะเป็น “พนักงาน” ของสำนักงาน กสทช. การดำเนินการทางวินัยผู้ร้องสอดที่ 1 จึงต้องเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ.2565 ซึ่งกำหนดให้เป็นอำนาจของ "เลขาธิการ กสทช." ที่จะพิจารณาสืบสวนและแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน กสทช. บอร์ด กสทช. ในฐานะ "องค์กรคณะบุคคล" ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะสั่งการให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการทางวินัยแก่พนักงานคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงได้โดยตรง มติของ กสทช. ในส่วนนี้จึงเป็นมติที่เกินกว่าอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ร้องสอดที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. อยู่ในขณะนั้น ย่อมเข้ากรณีที่มีเหตุที่เจ้าหน้าที่จะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้ ตามมาตรา 13 (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 เนื่องจากเป็นคู่กรณีเสียเอง อำนาจในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวจึงต้องตกแก่ผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไปชั้นหนึ่ง ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ซึ่งตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 กำหนดให้เลขาธิการ กสทช. ขึ้นตรงต่อประธาน กสทช. ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะประธาน กสทช. จึงเป็นผู้มีอำนาจที่จะพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้
แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ปฏิบัติตามมติของ กสทช. ในการประชุม ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ระเบียบวาระที่ 5.22 ที่มีมติเห็นชอบให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผู้ร้องสอดที่ 1 ซึ่งเป็นมติที่ไม่มีอำนาจสั่งการได้โดยตรง จึงไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด
สำหรับมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ระเบียบวาระที่ 5.22 ในส่วนที่ให้มีการเปลี่ยนผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. จากผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้ร้องสอดที่ 2 นั้น เห็นว่า ระเบียบคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติว่าด้วยการรักษาการแทน การปฏิบัติการแทน และการปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนในตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. และพนักงานของสำนักงาน กสทช. พ.ศ.2555 ข้อ 6 กำหนดหลักเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจนว่า ให้ประธานกรรมการ โดยความเห็นชอบของ กสทช. แต่งตั้งรองเลขาธิการคนหนึ่งตามที่เห็นสมควรเป็นผู้รักษาการแทน
แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ให้การริเริ่มเสนอชื่อ และแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะประธาน กสทช. เพื่อให้การปฏิบัติงานของเลขาธิการ กสทช. ซึ่งต้องขึ้นตรงต่อประธาน กสทช. เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ส่วนอำนาจของ กสทช. ทั้งคณะอยู่ในขั้นตอนของการให้ความเห็นชอบ ซึ่งเป็นเงื่อนไขบังคับที่เป็นสาระสำคัญ หาก กสทช. ไม่เห็นชอบ ผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่อาจแต่งตั้งบุคคลนั้นได้

ดังนั้น มติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ระเบียบวาระที่ 5.22 ในส่วนที่ให้มีการเปลี่ยนผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. จากผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้ร้องสอดที่ 2 ซึ่งมิได้มาจากการเสนอของผู้ถูกฟ้องคดี จึงไม่มีผลทางกฎหมายเป็นคำสั่งที่ผูกพันให้ผู้ถูกฟ้องคดีต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีคำสั่งให้ผู้ร้องสอดที่ 1 พ้นจากรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. และไม่แต่งตั้งผู้ร้องสอดที่ 2 เป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ตามมติที่ประชุม กสทช. ในการประชุมครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 จึงไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติแต่อย่างใด