นับถอยหลังก่อนเข้าไตรมาสสุดท้ายปีนี้ หลายฝ่ายต่างเห็นว่า เศรษฐกิจโลกมีปัจจัยผันผวนสูงมากยากคาดการณ์..จากเช่นสงครามการค้าที่พร้อมจะพลิกผันทุกเวลา เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐทวีตข้อความ สหภาพยุโรปที่ส่อป่วนมากขึ้น หากสหราชอาณาจักรถอนตัวแบบไม่มีแผนรองรับ หรือฮาร์ดเบร็กซิท แนวโน้มที่กระทบให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะถดถอยดังกล่าว ประเทศไทยซึ่งเติบโตจากโลกาภิวัตน์ พึ่งพารายได้หลักจากส่งออก ท่องเที่ยว ควรดำเนินการอย่างไร?เมื่อกระแสย้อนไปกีดกันการค้ามากขึ้นทุบเศรษฐกิจโลกหดตัวบนภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่จะกระทบเมืองไทยมากขึ้นดังกล่าว ถ้ามองมาตรการที่ไทยเคยใช้รับมือวิกฤตโลกล่าสุด คือวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือซับไพร์ม สหรัฐ ช่วงปี 2550-2551 ได้ผลมาแล้ว สิ่งนี้ก็น่าจะนำมาพิจารณา ตามคำแนะนำของเทคโนแครตรุ่นใหญ่ผู้ล่วงลับ “โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์“ เคยระบุว่า ต้องใช้นโยบายสร้างภูมิคุ้มกันประเทศ สร้างสมดุลระหว่างความเข้มแข็งเศรษฐกิจระยะยาวกับความเติบโตเศรษฐกิจระยะสั้น โดยบริหารเศรษฐกิจออกเป็น 3 ด้าน คือ..1. วาระประเทศชาติ2. วาระประชาชน และ 3. วาระตัวแปรเศรษฐกิจสำหรับวาระประเทศชาติ มีการเตรียม 3 เรื่องคือ..”ความเข้มแข็งของรากหญ้า ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจแท้จริง และ การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา”โดยเรื่องสร้างเข้มแข็งรากหญ้า..”ไม่ควรใช้การแจกเงินอัดฉีดระยะสั้น” แต่ควรพัฒนาความรู้ความสามารถเปิดโอกาสให้เลือกอาชีพที่เหมาะสมกับแต่ละคน เช่น หากเลือกอาชีพเกษตรกร ก็มีวิถีพ้นความยากจนตามแผนที่ปราชญ์ชาวบ้านปฏิบัติให้เห็นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ส่วนเรื่องเศรษฐกิจแท้จริง (Real Sector)..”ภาคการผลิตและบริการ ต้องสร้างความเติบโตแบบยั่งยืน” สามารถแข่งขันในตลาดเสรีขายได้ ขณะที่เรื่องสร้างทรัพย์สินทางปัญญา แม้ไทยสัดส่วนการใช้งบวิจัยพัฒนาน้อย แต่ถ้าจัดการความรู้ให้มีประสิทธิภาพ ก็อาจสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ด้านวาระประชาชน เป็นกระบวนการที่สำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง มี 4 มิติต้องดำเนินการคือ..มิติการสนองความต้องการของประชาชน ต้องพัฒนาให้มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น มิติวินัยการเงินการคลัง ต้องสร้างความคล่องตัวทางการเงิน มิติประหยัดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและหาเพิ่ม ควรใช้ความรู้เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดยใช้ทรัพยากรน้อยลง เพราะการใช้ทรัพยากรเปลืองเป็นประเด็นใหญ่ของโลก เช่นปัญหาโลกร้อน และมิติสุดท้ายโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่นสร้างถนน บ่อน้ำ กับโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา เช่นการศึกษา การวิจัยพัฒนา ซึ่งการทำงานจากแรงงานอย่างเดียว จะเพิ่มผลตอบแทนแค่ระดับหนึ่ง แต่ทำงานที่ใช้ความรู้ความคิด จะสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้นอีกระดับขณะที่วาระสุดท้ายวาระตัวแปรด้านเศรษฐกิจ ซึ่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและปัจจัยตัวแปร การบริหารจัดการของรัฐจะมีประสิทธิผลได้ ก็ต่อเมื่อมีการปรับตัวของภาคเอกชนควบคู่กันไปด้วย เช่น วิกฤตซับไพร์ม ช่วงที่แนวโน้มปัญหาจะทวีความรุนแรงขึ้น ทางเอกชนไม่ปรับแก้ปัญหาหลายประการรับกับมาตรการของรัฐ ทำให้ปัญหาขยายวงไปทั่วโลก โดยรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถยับยั้งได้ดังนั้น ในห้วงเศรษฐกิจชะลอตัวและส่อจะถดถอยจากหลายปัจจัยเสี่ยง การสร้างภูมิคุ้มกันประเทศตาม 3 วาระแห่งชาติที่เคยใช้รับมือวิกฤตซับไพร์มมาแล้ว น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่ควรพิจารณาอย่างยิ่ง!โดย-คนฝั่งธนฯ