
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยืนยันชัดเจนว่า คำพิพากษาศาลฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ถือเป็นที่สุด และมีผลผูกพันทุกฝ่าย ว่าที่ดินรถไฟตอนแยกเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ บริเวณ ต.อิสาณ ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จำนวน 5,083 ไร่ 80 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. อันเป็นที่ดินของรัฐ การออกเอกสารสิทธิในที่ดินทับซ้อนที่ดินของ รฟท. จึงเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทุกภาคส่วนควรเคารพต่อคำพิพากษาอันเป็นบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย โดยการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายในการเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าว เพื่อนำที่ดินมาเป็นของรัฐต่อไป
“เสือออนไลน์” หวังว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จากพรรคภูมิใจไทย จะทราบรายละเอียดเหล่านี้ดี และไม่เอาประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมมือกับครอบครัวนักการเมืองในบุรีรัมย์ ตลอดจนนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน เพื่อการทุจริตออกโฉนดบนที่ดินของรัฐ มาอ้างขอความเป็นธรรมอีกแล้ว หรืออ้างว่ามีใครใช้อำนาจรัฐในการข่มเหงรังแกประชาชนที่ออกโฉนดโดยมิชอบ อีกเลย

หลังจากเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 68 นายอนุทินเปิดปากให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในกรณีที่หากเลือกนายอนุทิน เขากระโดงจะหายไปตลอดกาล ว่าจะให้ตนพูดว่าอย่างไรดี แต่ขอให้ความมั่นใจ อะไรเป็นของรัฐก็ต้องเป็นเป็นของรัฐ แต่ขอให้ทำตามกฎหมาย แต่อย่ามายัดเยียด หรือมาปรุงแต่งเหมือนที่เขาทำกันมา
ส่วนเรื่องที่จะมีการเพิกถอนที่ดินเขากระโดง นายอนุทิน ระบุว่า ทุกอย่างทำตามกฎหมาย แต่หากพูดไปมาก เดี๋ยวจะไปขัดแย้งกัน ทุกอย่างจะใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องที่ดินเขากระโดงและเรื่อง ฮั้ว สว. และอะไรก็ตามที่จงใจใส่ร้ายป้ายสี เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง ซึ่งตนจะติดตามอย่างใกล้ชิดและเปิดเผย และใช้กฎหมายให้เป็นที่ยอมรับของทุกคน ให้ปราศจากข้อสงสัย

“พวกเราไม่ได้ทำ เมื่อเราไม่ได้ทำ ก็ไม่มีใครสามารถเอาผิดพวกเราได้ ยกเว้นพวกที่จะเอาเรื่องนี้มาใส่ร้ายป้ายสี และไม่ขอบอกว่าใคร เท่าที่ติดตามดูก็เห็นอยู่แล้วว่าใคร ถ้าคนอย่างพวกผมยังโดนกล่าวหา กลั่นแกล้งขนาดนี้ แล้วประชาชนทั่วไป เวลาโดนแบบนี้บ้างจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นตรงนี้หากเข้ามาแล้วก็ต้องทำให้ดีขึ้น ให้อำนาจการกลั่นแกล้งและความพยายามทั้งหลายที่จะยัดเยียดข้อหา หรือใช้อำนาจรัฐก่อให้เกิดโทษแก่ผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม สิ่งพวกนี้ต้องหมดไป และต้องใช้กระบวนการยุติธรรม Justice for all (ความยุติธรรมสำหรับทุกคน) และทุกคนต้องเท่าเทียมกันหมด” นายอนุทิน กล่าวว่าอย่างนั้น
ส่วนเรื่อง “ฮั้ว สว.” เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วงปลายเดือน ก.ค. 68 คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 26 ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ในสำนักงานกกต. และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาฯ กกต. เป็นประธาน ได้สรุปผลการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มบุคคลที่ฮั้วเลือก สว. ปี 67

โดยมีมติส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาดำเนินคดีต่อผู้ถูกกล่าวหา 229 คน แบ่งเป็น สว.ชุดปัจจุบัน 138 คน และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย รวมถึงเครือข่ายอีก 91 คน ในฐานความผิดต่อ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 70 ผู้ฝ่าฝืน มาตรา 36 มาตรา 62 มีความผิดตามกฎหมาย
โดย มาตรา 36 ห้ามฮั้วเลือกตั้ง ไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม มาตรา 62 ห้ามร่วมสนับสนุนหรือสมยอมให้ผิดกฎหมาย มาตรา 76 กกต.มีอำนาจสอบ หากพบการเลือกไม่โปร่งใส และ มาตรา 77 (1) หากเกี่ยวพรรคการเมือง กกต.เสนอศาลยุบพรรคได้ นอกจากนั้นยังพบว่า เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 ห้าม สว.อยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมือง
รวมทั้งในส่วนของดีเอสไอที่กำลังสอบสวนเอาผิดผู้เกี่ยวข้องกับการฮั้ว สว. ในฐานความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน-อั้งยี่ โดยผู้กระทำความผิดจะเป็นรายชื่อชุดเดียวกับ 229 คน ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป

โดยเฉพาะ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ สส.พรรคประชาชน ที่เป็น “นั่งร้าน” สนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ ต้องคอยกำกับดูแลไม่ให้นายอนุทินและพรรคพวก ใช้อำนาจเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงการทำงานของดีเอสไอ และกรมที่ดิน ซึ่งจะถือว่าเป็นการใช้อำนาจขัดกันแห่งผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก
เนื่องจากเรื่องเขากระโดง-ฮั้ว สว. ถือเป็นการกระทำของกลุ่มบุคคลหน้าเดิมๆ ซึ่งท้าทายอำนาจรัฐ ท้าทายหลักนิติรัฐอย่างยิ่งยวด
เสือออนไลน์