
ไม่รู้ว่าพรรคประชาชน (ปชน.) คิดผิดหรือคิดถูกกับการยกมือโหวตให้ "เสี่ยหนู-นายอนุทิน ชาญวีรกุล" แห่งพรรคภูใจไทย (ภท.) มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และจัดตั้งที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาล "เสียงข้างน้อย"
…
แม้ผู้นำฝ่ายค้าน "นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" หัวหน้าพรรคประชาชน จะยืนยันนั่งยันไม่ได้เลือกนายอนุทินให้เข้ามาบริหารประเทศ แต่เป็นการยกมือโหวตเพื่อให้นายกเข้ามา "ยุบสภา" ในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า
แต่ในทันทีที่รัฐบาลภูมิใจไทยเปิดโฉม "ว่ารัฐมนตรีใหม่" โดยเฉพาะรัฐมนตรีคนนอก 5-6 ราย ก็เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนโดยทั่วไป ไล่มาตั้งแต่ "นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ" ว่าที่ รมต.คลัง, นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่ รมต.พลังงาน, นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ว่าที่ รมต.ต่างประเทศ, นางศุภจี สุธรรมพันธ์ ว่าที่รมต.พาณิชย์
รวมถึง "นายวรภัค ธัญญาวงษ์" ว่าที่ รมช.คลัง อดีตเอ็มดีแบงก์กรุงไทย ผู้มีส่วนปลุกป้ำและขับเคลื่อนโครงการ "คนละครึ่ง" โครงการสร้างชื่อในรัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา" ที่นายกรัฐมนตรีประกาศจะ "ปัดฝุ่น" ขึ้นมาดำเนินการเต็มสูบ

ทำเอาผู้คนฮือฮาขานรับกันอย่าง "เซ็งแซ่" เพราะเป็นนโยบายที่ผู้คนเพรียกหาและเรียกร้องกันมากที่สุด มากกว่าเงิน "ดิจิทัล วอลเลต" 10,000 บาท ที่รัฐบาลแพทองธาร "ดั้นเมฆ" จะดำเนินการก่อนหน้าเสียอีก!
เพราะนโยบายคนละครึ่งเป็นมาตรการที่ทั้งผู้ประกอบการ ร้านค้า พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ร้านค้าชุมชน วินมอเตอร์ไซด์ในซอย หรือแม้กระทั่งผู้คนระดับรากหญ้าต่างก็ "คุ้นเคย" กับการสแกนรับ-จ่ายในโครงการนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสาธยายกันว่าโครงการนี้มีดีอย่างไร มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน
ทุกอย่างผ่านการพิสูจน์เป็นที่ประจักษ์มาหมดแล้ว

ผิดกับนโยบาย "ดิจิทัล วอลเลต" 10,000 บาท ที่เต็มไปด้วยปัญหาสารพัด ทั้งเงื่อนไขการจับจ่ายใช้สอยที่แทบจะออกจากบ้านไม่ได้เอาแค่ขั้นตอนการลงทะเบียนยืนยันตัวตนยังยุ่งขิงยิ่งกว่า "ยุงตีกัน" เสียอีก จึงทำให้สุดท้ายแล้วนโยบายดิจิทัล วอลเลต จึงเป็นได้แค่นโยบาย "ขายฝัน" ที่คงไม่มีวันเอาไปหลอกผู้คนได้อีก!
เมื่อ "นายกฯ หนู - อนุทิน" ประกาศปัดฝุ่นนโยบาย "คนละครึ่ง" กลับมาเดินเครื่องเต็มสูบ แถมตัวบุคคลที่จะมาขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวก็ล้วนเป็นผู้ที่มีส่วนปลุกป้ำนโยบายนี้มาแต่แรก จึงไม่ต้อสงสัยเลยว่า จะทำให้ประชาชนคนไทย "ลืมเลือน" รัฐบาลเพื่อไทย หรือแม้กระทั่งพรรคประชาชนของ "พี่เท้ง" ไปได้หรือไม่
ไหนจะมีโครงการ "หวยเกษียณ" ที่รัฐบาลชุดก่อนทำคลอดค้างเอาไว้รอแค่รัฐบาลใหม่ของนายอนุทินเปิดแพรคลุมป้ายเท่านั้น ที่เปิดให้คอหวยได้ลุ้นโชคและออมทรัพย์ไปในเวลาเดียวกัน ต่อให้ชวดเงินรางวัลก็ยังได้เก็บออมไปในตัว โดยแต่เดิมมีกำหนดจะดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ หรือหากจะเลื่อนไปยังไงก็ไม่เกินปลายปีแน่

ยังมีนโยบายพลังงานสะอาดที่เป็น 1 ในนโยบายหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยก่อนหน้า ที่มีแผนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ฟรีบนหลังคาบ้านเรือนประชาชน การลดค่าไฟ 450 บาทต่อเดือน และส่งเสริมการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาถูก พร้อมสิทธิ์การใช้เครดิตพลังงานนาน 25 ปี ที่คาดว่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาขับเคลื่อนควบคู่ไปกับนโยบายอื่นๆ
ที่ผ่านมา แม้การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) จะได้รับการสนับสนุนมาตรการลดหย่อนด้านภาษีจากภาครัฐ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในบ้านอยู่อาศัยสูงสุดถึง 200,000 บาท มีเงื่อนไขผู้ใช้สิทธิต้องเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 (บ้านอยู่อาศัย)และเป็นผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (1) – (8) ของประมวลรัษฎากร (ไม่รวมคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ) และระบบที่ติดตั้งต้องเป็นแบบ On-grid เชื่อมต่อกับโครงข่ายของการไฟฟ้า ขนาดไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ใช้สิทธิ์ได้ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2570

แต่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ที่ทำการสำรวจความต้องการของประชาชนในเวลาต่อมาระบุว่า มาตรการลดหย่อนภาษีดังกล่าว ยังไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชนมากนัก เนื่องจากจะช่วยลดภาระภาษีได้ราว 6,100 – 50,000 บาทเท่านั้น ขึ้นอยู่กับฐานภาษีแต่ละคน
ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้ประชาชนของ SCB EIC เกี่ยวกับนโยบายภาครัฐที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ พบว่า การให้เงินอุดหนุนสำหรับติดตั้งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด ตามมาด้วยการให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนด้านอื่นๆ อาทิ การปลดล็อกให้สามารถขายไฟฟ้าได้เสรี หรือการเสนอขายระบบโซลาร์รูฟท็อปที่ถูกกว่าตลาด แม้แต่การที่ภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในราคาเดียวกับราคาขายปลีกไฟฟ้า และการผ่อนปรนให้ติดตั้งได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เป็นต้น หากรัฐบาลและกระทรวงพลังงานจัด “แพ็กเกจนโยบาย” ที่ครบถ้วนเหล่านี้ให้ครบทั้งในมิติของต้นทุน การเข้าถึงระบบ และสิทธิประโยชน์หลังการติดตั้ง
เมื่อมาประกอบกับ "ตู้โชว์หน้าร้าน" จาก "รัฐมนตรีคนนอก" ที่ล้วนได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เชื่อแน่ว่าจะทำให้นั่งร้านรัฐบาลอนุทินแทบจะกลายเป็นรัฐบาล "หนูติดปีก" ที่ไม่ใช่แค่รัฐบาล "ขัดตาทัพ" 4-5 เดือนเท่านั้น
แต่มีสิทธิ์จะ "ตีตั๋ว" ยาวไปอีกสมัยในช่วง 4 ปีข้างหน้า เพราะวินาทีนี้นโยบายพรรคการเมืองไหนๆ ก็(ฉุด)รั้งไม่อยู่ สู้นโยบาย "พูดแล้ว....ทำจริง" ไม่ได้แล้ว