
ราว 4-5 ปีก่อน มีน้องสาวสุดรัก อดีตเลขาผู้บริหารธุรกิจสื่อสารยักษ์ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี กริ๊งกร๊างเข้ามาหาผมบอกว่า ได้ย้ายไปทำงานใหม่กับบริษัท "สตาร์ทอัพ" ด้านขนส่งแห่งหนึ่งแล้ว พร้อมเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปนั่งพูดคุยกับ "เจ้านายใหม่" ของคุณเธอ
เขาคนนั้นก็คือ "คมสันต์ ลี" หรือ "พี่สันติ ลี" ในซีรีส์ฮิตระเบิดเมือง "สงครามส่งด่วน" Bad Unicorn ที่จุดกระแสสุดฟีเวอร์ จนคนไทยอยากกระโดดไปร่วมงานกับพี่คมสันต์กันทั้งประเทศนั้นแหละ
เวลานั้น "คมสันต์" กำลังจะเปิดตัวธุรกิจขนส่งด่วน "Flash Express" ขึ้นในเมืองไทย ซึ่งว่ากันตามจริง ตอนนั้นธุรกิจขนส่งในประเทศไทยมีการแข่งขันที่สูงอยู่แล้ว

นอกจากกลุ่ม "BIG4" ที่ประกอบไปด้วย DHL FedEx UPS และ Kerry Logistics หรือ Kerry Express รวมทั้งไปรษณีย์ไทยที่ลุ่มๆ ดอนๆ แล้ว ผมยังมองไม่ออกเลยว่า Flash Express ของพี่คมสันต์เรา จะเข้ามาเบียดแทรกยักษ์ใหญ่ของกลุ่มบิ๊ก4 นี้ได้อย่างไร
แม้ซีอีโอผู้ก่อตั้ง Flash จะอธิบายโครงสร้างการตลาดขนส่งด่วนที่กำลังมาแรง ตลอดจนรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ Flash Express มุมมองทางการตลาดและโอกาสที่เขามองเห็น
แต่ "คนแก่" เจนโลกอย่างเราบอกตามตรงว่า แม้จะเห็นถึงความมุ่งมั่นและไอเดียสุดบรรเจิดของเขา แต่ผมก็ยังตามไม่ทันเขาจริงๆ แม้ธุรกิจส่งด่วนกำลังเฟื่องฟูขึ้นมา แต่เวลานั้นก็มีผู้ให้บริการเจ้าใหม่ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดด้วยเช่นกัน ทั้งยังมีเจ้าตลาดและเจ้าของแพลตฟอร์มยักษ์อย่าง Lineman ลงมาเล่นด้วยอีก ก็เลยยังมองไม่ออกว่าจะทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการ Flash แบบติดหนึบ นึกถึงบริการส่งด่วนทั้งหลาย ต้องนึกถึง Flash เป็นอันดับแรก เหมือนเวลาเรานึกอยากกินมาม่าตอนดึกๆ ต้องนึกถึงร้านเซเว่น 7-11 ก่อน
แถมเวลานั้น เจ้าตลาดอย่าง "เคอร์รี่" ก็ลงมาเล่นกับผู้บริโภคระดับล่าง มีบริการ One day ส่งสินค้าถึงมือลูกค้าในวันเดียวด้วยอีก ขณะที่บริการบริษัทไปรษณีย์ไทยก็มีการปรับตัว เพิ่มเอเย่นต์ผุดขึ้นทุกหัวระแหงด้วยอีก

แต่คล้อยหลังเพียงแค่ 2-3 ปี Flash Express กลับเบียดแทรกแซงเจ้าตลาดอื่นๆ ขึ้นมาเป็น "เบอร์ 1" จนได้ และยังทำให้ชื่อของกลุ่ม "BIG4" หายไปจากตลาดเมืองไทยอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ “เคอร์รี่ หรือ KEX Express” เองก็ยังหืดจับหายใจไม่ทั่วท้อง
ล่าสุด เมื่อ "คมสันต์ ลี" หรือพี่สันติของเราไปขึ้นสแตนด์ในงาน The Secret Sauce Summit 2025 เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ที่เจ้าตัวบอกว่า เป็นระลอกคลื่นใหม่ที่กำลังไหลบ่าสู่ประเทศไทย เป็นการก้าวเข้าสู่ยุคที่ 3 ที่ "อัลกอริทึมและ AI" ทำให้พลังของ KOL/Influencer ลดลง ผู้เล่นที่จะอยู่รอดจากนี้คือต้อง ‘สร้างแบรนด์’ ไม่ใช่ ‘เช่าพื้นที่แพลตฟอร์ม’ อีกแล้ว
พร้อมประกาศจะลุยธุรกิจใหม่ควบคู่ไปกับการเติบโตของ Flash Express นั่นคือ การลุยธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และร้านสะดวกซื้อ โดยจะมีการนำเข้าแบรนด์สินค้าใหม่ๆ จากจีนและแห่งอื่นๆ ของโลกอีกนับ 100 แบรนด์

พร้อมประกาศลุยธุรกิจร้านสะดวกซื้อเป็นลำดับถัดไป โดยระบุว่า ผู้บริโภควันนี้ต้องการตัวเลือกใหม่ โมเดลเดิมที่ต้นทุนการกระจายสูงทำให้ “เงิน 10 บาท ผู้บริโภคได้ของจริงไม่ถึง 25%” จึงเห็นช่องให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาออกแบบซัพพลายเชนที่คุ้มค่ากว่า
แม้จะเผชิญกับคำถามที่ว่า SME/แบรนด์เล็ก ที่จะเอาเข้ามาเล่นจะชนะได้อย่างไร? คมสันต์กล่าวว่า เขายึดหลักคิด Small but Beautiful คือการโฟกัสกลุ่ม Niche market แล้วค่อยขยายออกไปใช้โรงงาน OEM แทนการลงทุนหนักตั้งแต่วันแรก โดยจะใช้กลยุทธ์ "ทดลองกว้าง – คัดลึก" (นำเข้า 300 – 400 SKU ยิงเข้าสนามจริง ดูอัตราซื้อซ้ำก่อนสเกล) และ "ยกระดับวัตถุดิบไทยด้วยการแปรรูป" ไม่ส่งออกดิบๆ อีกต่อไป
แม้คนแก่อย่างผมฟังแล้วจะตาม "พี่สันติ" ไม่ทัน (อีกตามเคย) แต่ก็เชื่อว่าลองพี่สันติแห่ง "สงครามส่งด่วน" มุ่งมั่นจะทำอะไรแล้ว คงไม่ได้มาเล่นๆ เป็นแน่

เพราะทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเข้าร้านสะดวกซื้อ จะ 7-11 หรือ CJ More ราคาสินค้าที่เราซื้อหานั้น ไม่ได้ขายถูกไปกว่าโชห่วยโดยทั่วไป แต่อาศัยว่ามีตัวเลือกมากกว่า และมีเครือข่ายสาขากระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง แถมยังมีบริการเสริมอื่นๆ อย่างจ่ายค่าน้ำไฟ ซื้อตั๋ว จ่ายค่าโน้นนั่นนี่ได้ครบวงจรในที่เดียว
แถมร้านสะกวกซื้อบางแห่งอย่าง CJ More ยังจัดลานโปรโมทจับเอาสินค้าตัวนั้นพ่วงตัวนี้ลดราคาแข่งกับห้างใหญ่ๆ จากที่เราไม่เคยเห็นในร้านสะดวกซื้ออื่นๆ มาก่อน
หากแม้นเมื่อใด "พี่สันติเรา" เปิดตัวร้านสะดวกซื้อจะในเครือของ Flash หรือจะโดยส่วนตัวที่ไปหุ้นกับเซเล็ปอยู่หลายคนก็ตามที รับรองว่า วันนั้นเป็นได้เห็น "เจ้าสัวคณิน" เรา มีเคืองแน่!
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การแข่งขันที่มีย่อมทำให้ผู้บริโภคอย่างเรามีทางเลือกมมกขึ้นและยังจะได้รับบริการที่ดีขึ้น ต่อไปอยากกินอะไรก็ไม่ต้องออกจากบ้านเดินไปหน้าปากซอยอีกแล้ว ทุกอย่างจบบน "มือถือสมาร์ทโฟน" ของเรานั่นแหล่ะ!
แก่งหิน เพิง