แนวโน้มเศรษฐกิจที่ส่อชะลอตัวยาว..ซ้ำเติมเทคโนโลยีคุกคามหรือดีสรัปชั่น กระทบหลายภาคส่วนที่ปรับตัวไม่ทัน ให้ต้องล้มหายตายจากไปเร็วขึ้น
ปัญหานี้นับเป็นประสบการณ์ที่หลายคนไม่อยากเจอ แต่เมื่อต้องเจ๊งหรือเลิกกิจการ ความสำคัญยิ่งกว่าบทเรียนที่ได้จากความล้มเหลว
คือ..การหาหนทางลุกกลับขึ้นมาให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะในยุคสตาร์อัพ ที่สไตล์ดำเนินธุรกิจเป็นแบบกล้าเสี่ยงล้มเร็ว เพื่อที่ยังมีโอกาสลุกได้อีกหลายครั้ง
สำหรับหนึ่งในหลายประเทศที่ล้มแล้วลุกขึ้นมาได้น่าสนใจ นั่นคือ “ญี่ปุ่น”.. โดยหลายครั้งที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันใหญ่ เช่นสมัยที่สหรัฐนำเรือรบไปบีบให้เปิดประเทศ เพราะต้องการทำธุรกิจสกัดน้ำมันจากปลาวาฬ หรือหลังโดนทิ้งระเบิดนิวเคลียร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทางญี่ปุ่นก็สามารถฟื้นประเทศขึ้นมาเป็นระดับแนวหน้าของโลกได้
มีข้อสังเกตเห็นว่า เป็นเพราะแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่สหรัฐไปช่วยวางให้เพื่อไถ่บาป แต่จากการศึกษาของชาติตะวันตก พบว่า “ปัจจัยหลักน่าจะมาจากรากเง้าของชาติ อิทธิพลของลัทธิขงจื้อ จิตวิญญาณของซามูไรหรือพวกนักดาบอิสระโรนิน ทำให้ญี่ปุ่นฟื้นกลับมาได้”
ตามการวิจัยของชาติตะวันตกเห็นว่า “ที่ญี่ปุ่นกลับมาฟื้นตัวได้หลายครั้ง เพราะมองปัญหาแบบวัฏฏะเป็นวงกลม ไม่ได้มองแบบเส้นตรง”..
เมื่อเกิดปัญหาหรือวิกฤตใหญ่พอส่งผลกระทบถึงสุดทางก็จบ ส่วนการมองแบบวงกลมจะเริ่มจาก ขั้นรับรู้ข้อมูลหรือเกมแล้วรู้ว่า ต้องทำอย่างไร
ขั้นต่อไปเป็นขั้นวางแผนปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมตัดสินใจจะเดินทางไหน ขั้นต่อไปขั้นปฏิบัติงาน ซึ่งมีการลองผิดลองถูกเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเสมอ
และขั้นสุดท้ายช่วงจัดระเบียบตรึกตรองสิ่งที่ผ่านมาทั้งสามช่วง เพื่อรอการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันครั้งใหญ่อีกรอบ หรือเมื่อผลกระทบใหม่เกิด วัฏฏะนี้ก็จะวนสร้างใหม่
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มาจากรากเหง้าประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมว่าด้วยวิถีบูชิโด มาจากจีนที่เรียกนักรบว่าบูชิ พวกนักรบติดดาบปกป้องดินแดนเหล่านี้ค่อยๆ ได้รับความเชื่อถือจากจักรพรรดิ
ชื่อว่า ซาบูโร-บิโด คอยปกป้องปราสาท ตอนหลังมีการรวมคำเรียกว่า ซาบูไร จากนั้นเปลี่ยนมาเป็นซามูไร ส่วนนักรบที่ไม่สังกัดกับเจ้านายปราสาทไหน จะเป็นโรนินนักดาบอิสระ ซึ่งวิถีบูชิโด จะต้องมุ่งถึงความจงรักภักดี เกียรติศักดิ์ศรี และความกล้าหาญ
ส่วนการออกอาวุธลงมือให้เกิดการสร้างขั้นใหม่ ซามูไรและโรนินซึ่งเรียนรู้ทั้งบุ๋นและบู๊ทั้งการใช้ดาบและใช้พู่กันศิลปะแขนงต่างๆ ในส่วนของการบู๊หรือใช้ดาบ
จะแบ่งออกเป็น 3 สไตล์ใหญ่ คือ “กาโตริ ชินโต ริว” การลงดาบ การป้องด้วยดาบ กลยุทธ์จู่โจม และการโต้กลับเมื่อถูกจู่โจม ซึ่งมีเคล็ดลับความสำเร็จคือการเคลื่อนไหวร่างกายและเทคนิคให้ได้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ตอบรับ
สไตล์ที่สอง “อิโต ริว” เน้นการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามด้วยเพลงดาบเดียว เป็นสไตล์ที่นิยมมาถึงปัจจุบัน และมีการพัฒนาจากใช้ดาบมาเป็นไม้เกิดการยอมรับในวงกว้างที่รู้จักกันในกีฬาเคนโด
ส่วนสไตล์สุดท้าย “ยะกิว ชินคาเงะริว” เน้นไปที่การรับ ไม่เน้นการทำลายฝ่ายตรงข้าม
ขณะที่โรนินตัวจริงเสียงจริง ซึ่งต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงสูงจากที่ไม่มีเจ้านายเลี้ยงดู หรืออยากเลือกเป็นนักดาบอิสระเองชื่อดังในประวัติศาสตร์ อย่าง “มิยาโมโตะ มูซาชิ” นักดาบที่ไม่เคยแพ้ใคร (ไม่นับตอนวัยรุ่นวู่วามโดนพระนักรบชื่อดังทากุอัน กำราบให้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า)
หลังจากไร้เทียมทาน มูซาชิได้ตกผลึกเขียนถ่ายทอดออกมาเป็น คัมภีร์ 5 ห่วง คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และ ความว่างเปล่า..
นั่นคือ..
ดิน..เน้นเรื่องพื้นฐานความมั่นคง
น้ำ..เน้นเรื่องยืดหยุ่นแปรเปลี่ยนตามสถานการณ์
ไฟ..เน้นวิธีสู่ชัยชนะ วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน
ลม..เน้นรู้ฝ่ายตรงข้าม รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง และ ความว่างเปล่า เน้นหลุดจากกรอบ มองหาโอกาส
นี่จึงเป็นภาพรวมของการใช้อาวุธเพื่อให้เกิดการสร้างใหม่ ในยุคที่ญี่ปุ่นต้องการสร้างให้เกิดผู้ประกอบการใหม่
โดยต้องอาศัยเงื่อนไขจากรัฐ คือสังคมต้องมีมาตรฐานกฎระเบียบชัด มีระบบตลาดที่สภาพคล่องสูงคือนักลงทุนต้องมั่นใจว่าเงินที่ลงไปพอมีกำไรต้องถอนออกมาได้
การลุกขึ้นสู้อีกครั้งด้วย ”สปิริตโรนิน กล้าคิดกล้าทำตามความคิด สร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง มีเจตจำนงทางอุดมการณ์”
หรือสตาร์ทอัพเรียกว่า “แพชชั่น” มีสมรรถภาพในการแข่งขัน ลงมือทำให้ออกมาเป็นรูปธรรม ยืดหยุ่นปรับตามวัฏฏะพร้อมสร้างตนเองใหม่อีกครั้งหรือล้มแล้วลุกได้ทุกครั้ง
สิ่งนี้จึงนับเป็นอีกทางเลือกของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กรายน้อย ที่จะใช้ฝ่าความผันผวนของเศรษฐกิจ ซึ่งคาดกันว่า จะยังปั่นป่วนอีกนานไปถึงปลายปีหน้า
โดย-คนฝั่งธนฯ